สถาบันสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร่วมกับ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) และสัมมนาเชิงปฏิบัติการโครงการ “ส่งเสริมการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรในภาคอุตสาหกรรม” ในวันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม 2555 ณ ห้อง Meeting Room 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมมีการคำนวณข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโรงงาน และจัดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับภาคอุตสาหกรรมในการเข้าสู่ระบบการซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกรณีที่ประเทศไทยต้องกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งประโยชน์ขององค์กรนำร่องที่เข้าร่วมโครงการ จะสามารถคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร และนำผลไปใช้พัฒนาแนวทางการบริหารจัดการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนได้ โดยมีระยะเวลาดำเนินการ 11 เดือน (20 ธันวาคม 55 — 15 พฤศจิกายน 56)
ทั้งนี้ การจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรจะเป็นวิธีในการแสดงข้อมูลปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยจากการดำเนินงานขององค์กร ตลอดจนการพัฒนาระบบการรับรองและทวนสอบข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์องค์กรของประเทศ อันจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรในประเทศไทยในการบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ดร.พงษ์วิภา หล่อสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาธุรกิจ องค์การบริหารจัดการ ก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เปิดเผยว่า องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก.เป็นองค์กรกำกับดูแลการดำเนินงานตามกลไกการพัฒนาที่สะอาด ภายใต้พิธีสารเกียวโต และส่งเสริมธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศผ่านการพัฒนาแนวทางหรือหลักเกณฑ์การประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์และองค์กร แต่ทั้งนี้กิจกรรมการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรในประเทศไทยยังมีน้อย ซึ่งมีเพียงองค์กรขนาดใหญ่ไม่กี่องค์กรที่ได้เริ่มดำเนินการ เนื่องจากส่วนใหญ่ยังขาดความรู้ ไม่ทราบเทคนิคและวิธีการคำนวณ ดังนั้น อบก. จึงได้ดำเนินโครงการส่งเสริมการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร เมื่อปี 2553-2554 (เฟส 1) โดยมีองค์กรนำร่อง จำนวน 12 องค์กร และโครงการส่งเสริมการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปี 2554-2555 (เฟส 1) ซึ่งมีเทศบาลเข้าร่วมโครงการจำนวน 27 แห่ง
สำหรับโครงการส่งเสริมการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรในภาคอุตสาหกรรม ปี 2555 -2556 นี้ ได้รับความร่วมมือจากสถาบันสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมฯ ทำหน้าที่ดำเนินโครงการ โดยมีโรงงานอุตสาหกรรมเข้าร่วมเป็นองค์กรนำร่อง 25 แห่ง เพื่อส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมต่างๆ ทั้งการผลิตและการบริการขององค์กร อันจะเป็นการช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้กับผู้ประกอบการและธุรกิจของไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก
ดร.พงษ์วิภา กล่าวว่า การเข้าร่วมโครงการองค์กรในภาคอุตสาหกรรมสามารถจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์และมีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนมีความพร้อมที่จะเข้าสู่ระบบการซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading Scheme) หากมีการพัฒนาขึ้นในอนาคต ทั้งยังก่อให้เกิดการถ่ายทอดองค์ความรู้ในการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์แก่ภาคีหลักที่เกี่ยวข้องให้สามารถนำไปใช้ขยายผลได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ภาคอุตสาหกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก อันจะส่งผลให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยจากภาคอุตสาหกรรมลดน้อยลง
“สำหรับคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ ประเทศไทยมีการตื่นตัวในเรื่องนี้มาก กล่าวคือปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับอนุมัติให้ใช้เครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์แล้วจำนวน 726 ผลิตภัณฑ์ จาก 177 บริษัท (ข้อมูล ณ วันที่ 12 ตุลาคม 2555) ซึ่งถือได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทั้ง 25 องค์กรที่เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ จะเป็นต้นแบบเพื่อรองรับและขยายผลไปสู่อุตสาหกรรมอื่นๆ ต่อไป” ดร.พงษ์วิภา กล่าว
ด้าน รศ.ดร.ธำรงรัตน์ มุ่งเจริญ ผู้อำนวยการโปรแกรมสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน และประธานคลัสเตอร์พลังงานและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า โครงการ “ส่งเสริมการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรในภาคอุตสาหกรรม” เป็นกิจกรรมที่สำคัญกิจกรรมหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรม โดยประเมินปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมทั้งหมดขององค์กร คำนวณออกมาในรูปคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในเชิงปริมาณเป็นกิโลกรัมหรือตัน และนำข้อมูลที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาองค์กรให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“ต้องขอขอบคุณองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) และสภาอุตสาหกรรมฯ ที่ให้ความสำคัญกับการช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก และเป็นพันธมิตรร่วมดำเนินโครงการดังกล่าว โดยที่ผ่านมาศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ได้ดำเนินกิจกรรมและโครงการต่างๆ มากมายเพื่อส่งเสริมให้เกิดการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง ทั้งการจัดทำฐานข้อมูลสิ่งแวดล้อมของวัสดุพื้นฐานและพลังงานของประเทศ การทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กรในครั้งนี้ ซึ่งเอ็มเท็คมีความตั้งใจที่จะสนับสนุนให้มีการขยายผลการดำเนินงานไปสู่ภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ เพื่อเป็น Base Line ในกลุ่มอุตสาหกรรมของตน และเป็นฐานข้อมูลในกรณีที่ประเทศไทยต้องเข้าสู่ระบบการซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคต” รศ.ดร.ธำรงรัตน์ กล่าว
นายเชวง จาว รองประธานคณะกรรมการบริหารสถาบันสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า สภาอุตสาหกรรมฯ มีความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนเรื่องดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่อง และให้ความสำคัญในการดำเนินโครงการเกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดมา เช่น โครงการพัฒนาฐานข้อมูลสิ่งแวดล้อมของวัสดุพื้นฐานและพลังงานของประเทศ โครงการการจัดทำคู่มือข้อมูลวัฏจักรชีวิตผลิตภัณฑ์ (LCI-LCA) และโครงการส่งเสริมการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งได้ขยายผลไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง
“สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ในครั้งนี้ จะเป็นการเปิดตัว 25 องค์กรนำร่อง ที่ได้รับคัดเลือกจาก 47 บริษัทที่สนใจสมัครเข้าร่วมประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร ซึ่งจะเป็นสื่อกลางให้ทุกภาคส่วนเห็นถึงความสำคัญของการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นจากองค์กรนั้นๆ นอกจากจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้กับผู้ประกอบการและธุรกิจของไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลกได้แล้ว ยังแสดงถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของตนให้สามารถบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของตนได้ และมีการดำเนินงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นจุดเริ่มต้นที่จะช่วยสนับสนุน และเป็นต้นแบบสำหรับองค์กรและหน่วยงานอื่นๆ ในการจัดทำคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร เพื่อนำไปใช้เป็นข้อมูลในการปรับปรุงการดำเนินงานขององค์กรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนำไปสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนต่อไป” นายเชวง กล่าว
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อฝ่ายประชาสัมพันธ์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
โทร. 0-2345-1017 โทรสาร 0-2345-1296-9