รายงานของ Economist Intelligence Unit ชี้ทั่วโลกต้องคิดใหม่ทำใหม่เชิงนโยบายเพื่อจัดการกับ “ภัยเงียบ” ของโรคไวรัสตับอักเสบซี

พุธ ๑๖ มกราคม ๒๐๑๓ ๑๔:๑๒
- บรรดาผู้เชี่ยวชาญแนะนำวิธีที่ครอบคลุมในการแก้ปัญหาสุขภาพระดับโลก -

รายงานฉบับใหม่ของ Economist Intelligence Unit (EIU) ในหัวข้อ “โรคระบาดเงียบ: จัดการกับโรคไวรัสตับอักเสบซีด้วยการคิดใหม่ทำใหม่เชิงนโยบาย” ซึ่งได้รับเงินทุนสนับสนุนจากบริษัท แจนเซ่น ฟาร์มาซูติกา (Janssen Pharmaceutica NV) และเผยแพร่ในวันที่ 15 มกราคม ได้ตอกย้ำว่านานาประเทศทั่วโลกจำเป็นต้องเร่งพัฒนายุทธศาสตร์ต่างๆ เพื่อจัดการกับปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจอันเกี่ยวเนื่องกับโรคไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง[1]

สามารถชมข่าวประชาสัมพันธ์ในรูปแบบมัลติมีเดียได้ที่

http://www.multivu.com/mnr/58671-janssen-silent-pandemic-hepatitis-c

แม้จำนวนผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบซียังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดเนื่องจากขาดข้อมูล แต่องค์การอนามัยโลก (WHO) ประเมินว่าปัจจุบันน่าจะมีผู้ติดโรคไวรัสตับอักเสบซีประมาณ 150 ล้านคนทั่วโลก[2] และอาจมีผู้ป่วยสูงถึง 2 ใน 3 ของจำนวนนี้ที่กลายเป็นโรคตับเรื้อรัง ขณะที่ราว 1 ใน 5 จะกลายเป็นโรคตับแข็ง[2] นอกจากนี้ โรคไวรัสตับอักเสบซียังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ป่วยทั่วโลกต้องเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนตับ[1] และในสหรัฐอเมริกา โรคนี้ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตมากกว่าเอชไอวี[1]

“รายงานฉบับนี้ย้ำให้เห็นว่า รัฐบาลประเทศต่างๆทั่วโลกไม่ได้ตระหนักถึงผลกระทบและความรุนแรงของโรคไวรัสตับอักเสบซี ทั้งที่โรคนี้สร้างภาระอย่างมาก” ชาร์ลส์ กอร์ (Charles Gore) ประธานสมาพันธ์โรคตับอักเสบสากล (World Hepatitis Alliance) กล่าว “ทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา ความสูญเสียทางเศรษฐกิจและประชากรจะเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้งหากผู้มีหน้าที่กำหนดนโยบายไม่เผชิญหน้ากับปัญหาสุขภาพที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนตั้งแต่ตอนนี้”

แม้ว่าโรคไวรัสตับอักเสบซีจะมีความรุนแรง แต่รายงานระบุว่าโรคนี้ป้องกันได้และผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายขาดได้หากได้รับการรักษาด้วยวิธีที่ทันสมัย[1] อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมีผู้ป่วยเพียง 10% ที่ได้รับการรักษา และมีความเหลื่อมล้ำอย่างมากในการรักษาในหลายประเทศ[1] รายงานนี้จึงเรียกร้องให้นานาประเทศใช้ “วิธีที่ครอบคลุม” ซึ่งคำนึงถึงความต้องการในระดับท้องถิ่นรวมถึงเรื่องทรัพยากรต่างๆ วิธีดังกล่าวประกอบด้วย[1]

- การเฝ้าระวังโรคอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เห็นภาพรวมของปัญหาอย่างชัดเจน ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนานโยบายอย่างมีประสิทธิภาพ รายงานระบุว่าในระยะนี้มีเพียงไม่กี่ประเทศ ทั้งที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา ที่ทำการศึกษาสถิติทางวิทยาการระบาดซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการกำหนดนโยบายที่ดีในระดับชาติ รวมถึงในระดับท้องถิ่น โดย EIU เปิดเผยว่า 16 ประเทศในสหภาพยุโรปมีข้อมูลสถิติทางวิทยาการระบาดน้อยมากหรือไม่มีเลย[1]

- การรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงโรคมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดอคติเกี่ยวกับโรคไวรัสตับอักเสบซี และทำให้เข้าใจโรคมากขึ้น[1] ผลสำรวจของสมาคมผู้ป่วยโรคตับแห่งยุโรป (European Liver Patients Association) เผยว่า มีผู้ป่วยเพียง 20% ที่เคยได้ยินเกี่ยวกับโรคไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ก่อนที่ผู้ป่วยเหล่านี้จะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรค[1] (สามารถดูผลสำรวจฉบับเต็มได้ที่ http://www.hepbcppa.org/wp-content/uploads/2011/11/Report-on-Patient-Self-Help.pdf)

- การใช้มาตรการป้องกันเพื่อลดพฤติกรรมเสี่ยง และการให้ความรู้เกี่ยวกับรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพสำหรับผู้ที่ติดเชื้อแล้ว นอกจากนี้ รายงานยังเรียกร้องให้มีการใช้มาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันการติดต่อของโรคในระบบบริการสุขภาพ ซึ่งเป็นช่องทางหลักที่มีการแพร่เชื้อไวรัสตับอักเสบซีในประเทศกำลังพัฒนา[1]

- การพัฒนาแนวทางใหม่ๆในการเข้าถึงผู้ป่วย เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก่อนที่จะเกิดอาการที่ไม่สามารถรักษาได้[1]

“รายงานนี้เน้นย้ำว่าแต่ละประเทศมีความต้องการและทรัพยากรที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ดี เราขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการรับมือกับโรคไวรัสตับอักเสบซีและปัญหาด้านสาธารณสุข ช่วยกันทำให้ประชาชนตระหนักถึงโรคมากขึ้น และพยายามหาวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาที่มีประสิทธิภาพ” แกสตัน พิคคิโอ (Gaston Picchio) ผู้นำด้านโรคตับอักเสบทั่วโลกของบริษัทแจนเซ่นกล่าว “แจนเซ่นมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกับชุมชนโรคไวรัสตับอักเสบซี และจะเดินหน้าสร้างความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพ เจ้าหน้าที่รัฐ และผู้ดูแลผู้ป่วยทั่วโลก เพื่อสนับสนุนความพยายามของบุคคลเหล่านี้ในการลดภาระของผู้ป่วยและสังคมอันเกิดจากโรคที่รุนแรงนี้”

สามารถดูรายงานฉบับเต็มของ EIU และเอกสารสนับสนุนอื่นๆ ซึ่งรวมถึงข้อมูลรูปภาพ ได้ที่ http://www.janssen-emea.com/The-silent-pandemic

เกี่ยวกับโรคไวรัสตับอักเสบซี

โรคไวรัสตับอักเสบซี เป็นโรคติดต่อทางเลือดที่ส่งผลกระทบต่อตับของผู้ป่วย[3],[4] โดยมีผู้ติดเชื้อประมาณ 150 ล้านคนทั่วโลก[2] และมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ราว 3-4 ล้านคนในแต่ละปี โรคไวรัสตับอักเสบซีเป็นภาระอันใหญ่หลวงต่อทั้งตัวผู้ป่วยเองและสังคม[5] WHO ประเมินว่าโรคไวรัสตับอักเสบซีทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตไปกว่า 86,000 คน และต้องสูญเสียปีสุขภาวะ (Disability-Adjusted Life Years: DALYs) ไปถึง 1.2 ล้านปี ในยุโรปในปี 2545 (ข้อมูลล่าสุดเท่าที่มี)[6] นอกจากนี้ การติดเชื้อเรื้อรังจากโรคไวรัสตับอักเสบซีอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งตับรวมถึงโรคตับอื่นๆที่มีอันตรายถึงชีวิต[7] ทั้งนี้ ราว 1 ใน 4 ของการผ่าตัดเปลี่ยนตับใน 25 ประเทศยุโรปในปี 2547 เป็นผลพวงมาจากโรคไวรัสตับอักเสบซี (อ้างอิงจากข้อมูลล่าสุด)[6]

เกี่ยวกับ แจนเซ่น

แจนเซ่นอุทิศตนเพื่อจัดการและตอบสนองความต้องการทางการแพทย์ที่มีความจำเป็นที่สุดในยุคนี้ ทั้งในด้านโรคติดเชื้อและวัคซีน มะเร็งวิทยา ภูมิคุ้มกันวิทยา ประสาทวิทยาศาสตร์ ตลอดจนโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคเมตาบอลิก ด้วยความห่วงใยที่เรามีต่อผู้ป่วย เราจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และโซลูชั่นการดูแลสุขภาพที่มีความทันสมัย เพื่อช่วยเหลือผู้คนทั่วโลก สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.janssen.com

อ้างอิง:

1. Economist Intelligence Unit. 2012. The Silent Pandemic: Tackling Hepatitis C with Policy Innovation. Available at: http://www.managementthinking.eiu.com/

2. World Health Organization. Hepatitis C Fact Sheet. Available at: http://www.who.int/mediacentre/factsheets/fs164/en/index.html (last accessed December 2012)

3. Simin, M et al. 2007. Cochrane systematic review: pegylated interferon plus ribavirin vs. interferon plus ribavirin for chronic hepatitis C. Alimentary Pharmacology & Therapeutics 25 (10): 1153-62.

4. Centres for Disease Control and Prevention. Hepatitis C FAQs. Available from: http://www.cdc.gov/hepatitis/C/cFAQ.htm#transmission (last accessed December 2012)

5. WHO. State of the art of vaccine research and development. Viral Cancers. Available from: http://www.who.int/vaccine_research/documents/Viral_Cancers.pdf (last accessed December 2012)

6. Muhlberger, N et al. 2009. HCV-related burden of disease in Europe: a systematic assessment of incidence, prevalence, morbidity, and mortality. BMC Public Health 9 (34): 1-14.

7. Lang K & Weiner DB. 2008. Immunotherapy for HCV infection: next steps. Expert Review of Vaccines 7 (7): 915-923.

วิดีโอ: http://www.multivu.com/mnr/58671-janssen-silent-pandemic-hepatitis-c

แหล่งข่าว: แจนเซ่น

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๘ เม.ย. ARDA จับมือ ฟาร์ม เอ็กซ์โป และพันธมิตร เปิดศึก AGRITHON by ARDA Season 2 เฟ้นหาสุดยอดไอเดียปลุกพลังนวัตกรรมเกษตรไทย ชิงทุนวิจัยรวมกว่า 100
๑๘ เม.ย. กรุงศรี ฉลอง 80 ปี ดูหนัง 80 บาท ที่ Major Cineplex เมื่อชำระด้วยบัตรกรุงศรี เดบิตและบัตร Krungsri Boarding
๑๘ เม.ย. แบรนด์ซุปไก่สกัด รณรงค์ขับขี่ปลอดภัยในโครงการ สมองล้าอย่าขับ พักดื่มแบรนด์ จับมือ ตำรวจทางหลวง และ ตำรวจจราจร
๑๘ เม.ย. ซัมซุงจัดใหญ่! เป็นเจ้าของ ตู้เย็น Side by Side รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมรับสิทธิพิเศษแบบจุใจ ได้แล้ววันนี้
๑๘ เม.ย. ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2568 คาดกนง.มีมติลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนเมษายนนี้
๑๘ เม.ย. EXIM BANK ร่วมกับกระทรวงการคลังและกระทรวงพาณิชย์ ออกมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs รับมือนโยบายภาษีแบบตอบโต้ของสหรัฐฯ
๑๘ เม.ย. ปักหมุด! เตรียมจัดงาน PET Expo Thailand 2025 จัดยิ่งใหญ่ครบรอบ 25 ปี
๑๘ เม.ย. ลดคลายร้อน ช้อปแลคตาซอย 1,000 ลด 100 พร้อมชวนร่วมสนุกถ่ายภาพคู่แลคตาซอย ลุ้น 10 รางวัล
๑๘ เม.ย. DITP ประชุมผู้จัดแสดงสินค้า เตรียมความพร้อมสู่เวที THAIFEX - ANUGA ASIA 2025
๑๘ เม.ย. โรงแรมเครือดุสิตธานี เปิดตัวโปรพิเศษต้อนรับซัมเมอร์ 'A Night on Us' เติมเต็มวันพักผ่อนอย่างมีความสุขกับโรงแรมและรีสอร์ทในเครือดุสิตธานีทั่วโลก