นางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินของบริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำในธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมระดับแนวหน้าของประเทศไทย ในกลุ่มบริษัทพรีเมียร์ เปิดเผยว่า ได้กำหนดช่วงราคาขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชน (IPO) ของ บริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 82.5 ล้านหุ้นแล้ว ในช่วงราคาเสนอขายหุ้นละ 4.96 — 5.00 บาท โดยบริษัทฯ ได้รับการอนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนจากสำนักงาน ก.ล.ต.เรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้การตั้งราคาดังกล่าวเมื่อเทียบกับ P/E ปัจจุบันของบริษัทจดทะเบียนและหมวดธุรกิจที่นำมาเปรียบเทียบ จะมีส่วนลดประมาณ 20% ซึ่งจะมีการสำรวจความต้องการซื้อหุ้นจากนักลงทุน (Book Building) โดยราคาขายสุดท้ายจะอยู่ที่ผลการ Book Build ของนักลงทุนสถาบัน
ทั้งนี้ P/E ของบริษัทฯ จะปรับลงได้อีกมากจากการเติบโตของผลประกอบการในปีนี้ที่มีแนวโน้มเติบโตก้าวกระโดดจากปีก่อนอย่างชัดเจน จากการรับรู้รายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มเติมในโครงการที่ 2 และ 3 ซึ่งมีขนาดโรงละ 5 เมกะวัตต์ โดยคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ภายในต้นไตรมาส 2 ปี 2556 ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้บริษัทฯ มีรายได้เติบโตอย่างโดดเด่นในปีนี้ และสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาวต่อเนื่อง
“เรากำหนดช่วงราคาขายหุ้น IPO ที่ระดับราคา 4.96 — 5.00 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาเหมาะสมและมีส่วนลดให้กับนักลงทุนในระดับที่น่าพอใจ หากพิจารณาจากผลประกอบการในงวด 9 เดือนที่ผ่านซึ่งมีรายได้เติบโตกว่าร้อยละ 55 ในขณะที่กำไรเติบโตกว่าร้อยละ 77 จากงวดเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งทิศทางการเติบโตของอุตสาหกรรมและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจหลักของบริษัทคือธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ด้านระบบบำบัดน้ำเสียและระบบสำรองน้ำ และกลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างและอุตสาหกรรม มีแนวโน้มเติบโตไปในทิศทางที่สดใส ประการสำคัญ ในปีนี้บริษัทฯ จะรับรู้รายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ได้ทั้ง 3 โรง ซึ่งคาดว่าจะสะท้อนให้ P/E ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปีนี้ ซึ่งผู้ลงทุนจะได้รับประโยชน์อย่างชัดเจน และจะให้ การตอบรับต่อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน) เป็นอย่างดี” นางสาวพัชพรกล่าว
นายสุรเดช บุณยวัฒน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เชื่อว่ากรอบราคาหุ้น IPO ที่กำหนดในครั้งนี้จะเป็นปัจจัยหนึ่งที่จูงใจให้หุ้นของ บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเป็นอย่างดี เพราะกำหนดไว้ที่ P/E ที่เหมาะสมและให้มีส่วนลดให้กับนักลงทุนในระดับที่น่าสนใจ ในขณะที่ผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างโดดเด่นในปีนี้ จากการรับรู้รายได้จากธุรกิจโรงไฟฟ้าครบทั้ง 3 โครงการ และแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจหลักอีก 3 กลุ่มธุรกิจที่ยังมีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
นายสุรเดช กล่าวอีกว่าข้อเท็จจริงนี้เห็นได้จากผลประกอบการในงวด 9 เดือนแรกของปี2555 บริษัทฯ มีรายได้ 993.51 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 640.46 ล้านบาท และเทียบกับปี 2554 ทั้งปีที่มีรายได้ 916.14 ล้านบาท จะเห็นได้ว่าเพียง 9 เดือนแรกของปี 2555 บริษัทฯก็สามารถสร้างรายได้ได้สูงกว่าปี 2554 ทั้งปี ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตที่โดดเด่นของรายได้ในปี 2555 และต่อเนื่องไปถึงปี 2556 ที่บริษัทฯ จะรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อีก 2 โครงการด้วย
ข้อมูลบริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน)
บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ ดำเนินธุรกิจใน 4 กลุ่มหลัก โดยมี 2 ธุรกิจดำเนินการ ภายใต้ บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ด้านระบบบำบัดน้ำเสียและระบบสำรองน้ำ และกลุ่มธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้าง และอุตสาหกรรม ในขณะที่อีก 2 กลุ่มธุรกิจจะดำเนินการโดยบริษัทย่อย 2 แห่ง ได้แก่ ธุรกิจจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติในการประหยัดพลังงาน ดำเนินการโดยบริษัท พรีเมียร์ โฮม แอพพลายแอนซ์ จำกัด (PHA) และธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ดำเนินการโดย บริษัท อินฟินิท กรีน จำกัด (IGC) ซึ่งธุรกิจทั้งหมดเป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมและพลังงานทดแทนซึ่งถือเป็นธุรกิจแห่งอนาคตที่อยู่ในความสนใจของทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับการดูแลโลกและสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น ธุรกิจจึงมีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันธุรกิจระบบบำบัดน้ำเสียและระบบสำรองน้ำของบริษัทฯ ถือเป็นผู้นำในตลาด ที่ใช้ในอาคาร โดยบริษัทฯ ได้รับเลือกให้เป็นผู้ติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียในอาคารขนาดใหญ่ชั้นนำมากมาย อาทิ ธนาคารกรุงไทยสำนักงานใหญ่ ธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่ธนาคารแห่ง ประเทศไทย มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตและอาคารที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่นเรศวร และอาคารที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่
ในขณะที่ในธุรกิจผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างและอุตสาหกรรม ปัจจุบันถือเป็นผู้นำใน ตลาดผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากซีเมนต์เสริมใยแก้ว และผลิตภัณฑ์ไฟเบอร์กลาสเสริมแรง โดยได้รับ การยอมรับจากกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มสถาปนิกในวงกว้าง ไว้วางใจใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ ในโครงการสำคัญมากมายหลายโครงการไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่ผลิตจากซีเมนต์เสริมใยแก้ว (Glass Reinforced Cement: GRC) ได้แก่ การทำผนังกันเสียงให้กับโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สายสีแดง ทางยกระดับสะพานพระราม 8 ทางยกระดับสะพานกรุงเทพ และผลิตภัณฑ์หลังคาและผนังเหล็กขึ้นรูป ซึ่งใช้ติดตั้งหลังคาของศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ อาคารคลังเก็บสินค้าของ บมจ. ท่าอากาศยานไทย ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จในธุรกิจและการยอมรับจากกลุ่มผู้ประกอบการเป็นอย่างดี
ด้านธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งดำเนินการโดย บริษัท อินฟินิท กรีน จำกัด (IGC) มีทั้งหมด 3 โครงการ ซึ่งมีขนาดโครงการละ 5 MW รวม 15 MW ซึ่งมีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) โดยโครงการแรกได้เริ่มเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว และ PPP เริ่มทยอยรับรู้รายได้เข้ามาตั้งแต่เดือนเมษายน 2555 ตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ผ่านมา และคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากโครงการที่ 2 และ 3 เพิ่มเติมได้ภายในต้นไตรมาส 2 ปี 2556 โดยจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้บริษัทฯ มีรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีนี้ และสร้างรายได้ที่มั่นคงในระยะยาวต่อเนื่อง
ด้านธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทประหยัดพลังงาน ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท พรีเมียร์ โฮม แอพพลายแอนซ์ จำกัด (PHA) ในอนาคตมีทิศทางการเติบโตอย่างชัดเจน เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่รองรับกระแสการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่กำลังมาแรงทั้งในปัจจุบันและอนาคต นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังสามารถใช้ประโยชน์จากช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งของ PHA โดยนำสินค้าประเภทประหยัดพลังงานอื่นๆ เช่น หลอดไฟฟ้าประหยัดพลังงาน อุปกรณ์ประหยัดพลังงาน อุปกรณ์ที่ใช้ควบคู่กับแผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใช้ตามบ้าน (Solar Roof Top) เข้ามาจัดจำหน่ายผ่านร้านค้าพันธมิตรที่มีอยู่ประมาณ 500 แห่งทั่วประเทศได้อีกด้วย และในปีนี้บริษัทฯ มั่นใจว่าจะสามารถขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตก้าวอย่างกระโดดต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมาได้ทั้งกลุ่มธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมและพลังงานทดแทน
สำหรับผลประกอบการในงวด 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวม 993.51 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมร้อยละ 50 กลุ่มผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างและอุตสาหกรรมร้อยละ 31.07 กลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังแสงอาทิตย์ร้อยละ 3.75 กลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดพลังงานร้อยละ 14.30 และรายได้อื่นๆ ร้อยละ 0.88 เทียบกับงวด 9 เดือนแรกของปี 2554 ที่มีรายได้ 640.46 ล้านบาท และรายได้ 916.14 ล้านบาทในปี 2554 โดยในปี 2555 บริษัทฯ คาดว่ารายได้จะเติบโตได้อย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากเพียง 9 เดือนแรกของปีบริษัทฯ สามารถทำรายได้สูงกว่าปี 2554 ทั้งปีแล้ว
ทั้งนี้ บมจ. พรีเมียร์ โพรดักส์ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท แบ่งเป็นทุนชำระแล้ว 217.50 ล้านหุ้น ส่วนที่เหลือ 82.50 ล้านหุ้น ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) โดยเงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO ในครั้งนี้จะนำมาลงทุนเพิ่มในธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนรองรับการเติบโตในอนาคต
ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : IR PLUS
คุณสารภี สายะเวส (จูน)
โทร. 02-541-4011 ต่อ 613
email : [email protected]
www.irplus.in.th
พัชพร สรรคบุรานุรักษ์