นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ในตำแหน่งล่าสุด รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัททีโอเอ กล่าวถึงวิสัยทัศน์ในภาพรวมว่า “ทีโอเอจัดทำแผนงาน ปี 2013-2020 มุ่งเน้นการเร่งพัฒนาความได้เปรียบในการแข่งขันใหม่ๆ ในตลาดสีทาอาคารในประเทศ ควบคู่กับการพัฒนารากฐานสำหรับการเติบโตในตลาด non-decorative และตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ AEC ซึ่งจะมีการเปิดการค้าเสรีในปี 2015 ตั้งเป้าก้าวสู่การเป็นผู้นำตลาดผู้ใช้สีปกป้องพื้นผิวในภูมิภาคอาเซียน ด้วยนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ล้ำหน้าและหลากหลาย เสริมด้วยบริการที่เป็นเลิศ ตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายและเปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค โดยมีเป้าหมายการเติบโตของยอดขายเฉลี่ยไว้ที่ร้อยละ 16 ต่อปี และเป้าหมายยอดขายรวม 2 หมื่นล้านบาท ภายในปี 2015 ทั้งนี้ที่ผ่านมา ทีโอเอมีอัตราการเติบโตในช่วงปี 2007-2011 อยู่ที่ร้อยละ 12 ส่วนอัตราการเติบโตของปี 2012 มีการเติบโตสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์อยู่ที่ 20% โดยมีปัจจัยที่เอื้อต่อการเติบโต คือ ภาวะซ่อมแซมบ้านจากอุทกภัยครั้งใหญ่ปีก่อน ภาวะการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในรอบปีที่ผ่านมา รวมถึงการขยายตัวของตลาดพรีเมี่ยมทำให้สัดส่วนรายได้ของทีโอเอเติบโตขึ้นอย่างมาก”
นอกจากนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมาย และการก้าวเข้าสู่ประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของทีโอเอ ทีโอเอจึงแต่งตั้งให้นายพงษ์เชิด จามีกรกุล ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายการบริหารงานให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือการรุกตลาดใหม่ๆ ใน AEC อีกด้วย
นายพงษ์เชิด จามีกรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยเกี่ยวกับภาพรวมของธุรกิจในปี 2012 ว่า “ตลาดสีทาอาคารปี 2012 มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 19,000 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับก่อนหน้า โดยแบ่งเป็นตลาด Premium 26% Ultra Premium ร้อยละ 23 ตลาด Medium ร้อยละ 31 และตลาด Eco ร้อยละ 20 ทั้งนี้ ทีโอเอมีส่วนแบ่งตลาด Premium 50% Ultra Premium ร้อยละ 23 ตลาด Medium ร้อยละ 62 และตลาด Eco ร้อยละ 26 รวมทั้งตลาดสีน้ำทาอาคารของทีโอเอมีส่วนแบ่งที่ร้อยละ 47 คิดเป็นยอดขายในปี 2012 อยู่ที่ 9,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตอยู่ที่ 20 % ทั้งนี้รวมยอดขายของทีโอเอทุกพอร์ตอยู่ที่ 15,500 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตอยู่ที่ 20% สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 14,000 ล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมา ทีโอเอได้มุ่งเน้นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งตรงกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะสีเพื่อการตกแต่ง (Decorative) ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดและมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และการขยายการเพิ่มเครื่องผสมสีระบบคอมพิวเตอร์ TOA Color World ไปในตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนรวมมากกว่า 2,200 เครื่อง
รวมทั้งด้านการตลาดและการขาย ได้ผนวกความเชี่ยวชาญและความเป็นมืออาชีพ ตอกย้ำแบรนด์ทีโอเอในฐานะผู้นำนวัตกรรมและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อครองใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในระยะยาว พร้อมทั้งยังมีการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ส่วนด้านช่องทางจัดจำหน่าย ได้ขยายช่องทางจัดจำหน่ายเพิ่มเติม เพื่อเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น ทั้งนี้ในปี 2013 ทีโอเอตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 18,600 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 20
ทั้งนี้เป้าหมายการเติบโตในปี 2013 ด้านอื่นๆ ได้แก่ ตั้งเป้าหมายให้ส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 ทุกปี เพื่อก้าวเป็นอันดับ 1 ในตลาดสีงานไม้และผู้นำในเคมีภัณฑ์และสีอุตสาหกรรม ตลอดจนเป้าหมายการเป็นผู้นำตลาดสีน้ำในอินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย โดยมีส่วนแบ่งตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มเป็นร้อยละ 14 จากร้อยละ 12 ในปีที่ผ่านมา โดยกลยุทธ์ธุรกิจที่จะนำไปสู่เป้าหมายดังกล่าว คือ พัฒนาความได้เปรียบใหม่ๆ ในการแข่งขัน และนำความได้เปรียบในการแข่งขันที่มีอยู่แล้ว เช่น แบรนด์ที่เป็นที่รู้จัก เครือข่ายร้านค้าที่มีจำนวนมากและครอบคลุม ความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในตลาด non-decorative ให้มากขึ้น โดยจะเน้นตลาดสีงานไม้ เคมีภัณฑ์ สีอุตสาหกรรม และตลาดต่างประเทศ
“ทีโอเอยังให้ความสำคัญในเรื่อง การให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ลูกค้า เช่น องค์ประกอบของสี เทคนิคการผสมและการทาที่เหมาะกับแต่ละพื้นผิว ตลอดจนการออกแบบสีหรือการนำแนวคิด Mix & Match มาใช้เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ตรงจุด เทรนด์สีเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของลูกค้าปัจจุบัน เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพื่อให้ลูกค้ามีความเข้าใจ ความเชื่อมั่น และไว้วางใจในผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมของทีโอเอมากขึ้น” กรรมการผู้จัดการใหญ่กล่าวเสริม
ในส่วนของกลยุทธ์ด้านการปฏิบัติการ และผลิตสินค้า ในปี 2013 นายมนัส เพ็ชรบัวศักดิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานการผลิต เปิดเผยว่า จะมุ่งเน้นการผลิตสินค้าให้ง่าย และจัดส่งสินค้าเร็ว มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น โดยการผลิตสีทาอาคาร จะผลิตที่ทีโอเอ บางนาตราด กม. 23 เป็นหลัก เพราะเป็นโรงงานผลิตสินค้าที่ทันสมัยที่สุดใน Asian ควบคุมการผลิตด้วยระบบ Computer ทุกขั้นตอน และเป็นการผลิตสินค้าในระบบปิด ทำให้สามารถผลิตสินค้าได้เร็วขึ้นกว่าเดิมกว่า 50% ใช้ไฟฟ้าน้อยลง 20% และลดน้ำเสียจากกระบวนการผลิตมากกว่า 50% ซึ่งกระบวนการผลิตดังกล่าว เรียกว่า เป็น Green Production ที่สมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ยังเป็นกระบวนการผลิตที่ใช้แรงงานลดลงถึง 50% อีกด้วย
รวมทั้งแผนงานปรับปรุงระบบการ Forecast order การวางแผนการผลิต การผลิตสินค้า และการ Stock สินค้าด้วยระบบ S&OP โดยใช้ Software computer ช่วยในการวางแผน &ควบคุม เพื่อให้การวางแผนการขาย วางแผนการผลิต และการเก็บ Stock สินค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าได้ดีขึ้นโดยมีเป้าหมายการส่งสินค้าให้กับลูกค้าภายใน 36 ชม.
“ในส่วนของพัฒนาคุณภาพสินค้า โดยเฉพาะสินค้า Non Decorative ในกลุ่มสีงานไม้ เคมีก่อสร้างและสีอุตสาหกรรม จะพัฒนาเพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้ามากขึ้น โดยใช้ทีมงาน R&D และความร่วมมือของ Raw Material Suppliers รวมถึงการจัดหา Know how ใหม่ๆ จากต่างประเทศเข้ามาใช้ เช่นเดียวกับการพัฒนาคุณภาพสินค้าสีทาอาคาร ที่มุ่งตอบสนองต่อความต้องการใหม่ๆ ของลูกค้าทั้งใน และต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันเทรนด์ลูกค้าได้ให้ความสำคัญกับสินค้าที่ส่งผลต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (Green product) มากขึ้นเป็นลำดับ”
นายมนัส กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการลงทุนขยายกำลังการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใน AECเพื่อให้สอดรับกับเป้าหมายที่วางไว้ “ปัจจุบันทีโอเอมีโรงงานผลิตสีในประเทศ เวียดนาม ลาว มาเลเซีย และมีแผนงานที่จะขยายการลงทุนสร้างโรงงานในกลุ่มประเทศอาเซียนมากขึ้น เริ่มจากแผนงานการสร้างโรงงานผลิตสีในประเทศพม่าให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 ปี 2013 จากนั้นก็จะมองหาช่องทางขยายฐานการผลิตอื่นๆ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจสีในตลาด AEC เพื่อสร้างแบรนด์ TOA ให้เป็น Regional Brand ในอนาคต ตามเป้าหมายที่วางไว้
พงษ์เชิด จามีกรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด
จตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัททีโอเอ