นายเชาว์พันธุ์ พันธุ์ทอง กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอ๊ดวานซ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมของธุรกิจประกันชีวิตในปีที่ผ่านมาว่ามีอัตราการเติบโตที่ 19% เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 11% ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่บริษัทประกันชีวิตแต่ละแห่งมีการปรับปรุง พัฒนารูปแบบกรมธรรม์ออกมาตอบสนองความต้องการของประชาชน พัฒนาบุคลากรฝ่ายขาย รวมถึงช่องทางการขายที่สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึง
ขณะที่ในปี 2556 จากทิศทางของเศรษฐกิจประเทศเอเชีย รวมทั้งประเทศไทย ที่คาดว่าจะยังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องกว่าประเทศในแถบตะวันตก อันเนื่องมาจากปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศ นโยบายภาครัฐ และเงินทุนไหลเข้า ประกอบกับเมื่อเศรษฐกิจมีการขยายตัวประชาชน มีเงินออมมากขึ้น จึงเริ่มมองหาประกันชีวิต ประกันสุขภาพ หรือประกันแบบออมทรัพย์มากขึ้น เพราะประชาชนเริ่มเข้าใจและเห็นประโยชน์ของการซื้อประกัน ส่งผลให้ธุรกิจประกันชีวิตในปี 2556 ขยายตัวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ซึ่งในปีนี้เพื่อเป็นการรองรับการแข่งขัน และการเติบโตของอุตสาหกรรม เอไลฟ์ จึงได้วางกรอบกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับปีที่ผ่านมา ด้วยกลยุทธ์ 3P ประกอบด้วย Product, People และ Prospect ในการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตเบี้ยรับรวมไว้ที่ 2,500 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 100% จากปี 2555
ด้านการลงทุนบริษัทมีนโยบายลงทุนในทรัพย์สินที่เหมาะสม และสอดคล้องกับภาระผูกพันที่มีอยู่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่ 75% จะเป็นพันธบัตรรัฐบาล และตราสารหนี้ภาครัฐ กองทุนรวม และหุ้นกู้ เนื่องจากมองว่าการลงทุนประเภทนี้ผลตอบแทนค่อนข้างมั่นคง แต่อย่างไรก็ตามในปีนี้ประกาศการลงทุนจะมีการแก้ไขเพิ่มเติม ซึ่งจะมีการให้ลงทุนที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล เช่นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ซึ่งน่าจะเป็นการเปิดโอกาสในการลงทุนและความหลากหลายเพิ่มมากขึ้น และสามารถที่จะรักษาอัตราผลตอบแทนที่บริษัทตั้งเป้าหมายได้
ทั้งนี้ในส่วนของผลการดำเนินงานของเอไลฟ์ในปี 2555 ที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตจากยอดเบี้ยรับรวมทั้งสิ้น 1,246 ล้านบาท เติบโตถึง 52% เมื่อเทียบกับปี 2554 ที่มียอดเบี้ยรับรวมที 820 ล้านบาท ขณะที่เบี้ยรับใหม่ปีแรกเติบโตสูงถึง 805 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 132 % เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาที่ 347 ล้านบาท โดยเบี้ยรับรวมของบริษัทเติบโตมากกว่าทั้งอุตสาหกรรมที่เติบโตเพียง 18% อีกทั้งผลการดำเนินงานด้านกำไรเติบโตต่อเนื่องทุกไตรมาสในปี 2555 ขณะเดียวกันการเพิ่มขึ้นของกรมธรรม์ จำนวนลูกค้า และ ค่าเบี้ยประกันภัยเฉลี่ยโดยรวมต่อกรมธรรม์ในปี 2555 อยู่ที่ 600,000 บาทต่อกรมธรรม์ เมื่อเทียบกับปี 2554 ที่ 450,000 บาทต่อกรมธรรม์
ด้านดร. เจตน์สุระ วงศ์วิเชียร กรรมการบริหาร บริษัทแอ๊ดวานซ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าเอไลฟ์ได้ดำเนินการตามกรอบกลยุทธ์ “เล็ก-เก่ง-ไว” ซึ่งที่ผ่านมาเอไลฟ์ได้ดำเนินการมาถูกทางแล้ว โดยในปีนี้บริษัทได้เน้นจุดยืนการบริหารภายใต้กลยุทธ์ 3P ประกอบด้วย Product, People และ Prospect
-Product มุ่งเน้นการพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ให้ลูกค้าได้รับประโยชน์สูงที่สุดในเรื่องของผลตอบแทน ซึ่งที่ผ่านมาผลตอบแทนที่เอไลฟ์นำเสนอให้กับลูกค้าอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม เนื่องจากระบบการให้บริการของเอไลฟ์ผ่านที่ปรึกษาทางการเงินจะไม่มีรูปแบบการจ่ายค่าคอมมิชชั่น จึงสามารถนำเสนอผลตอบแทนได้จูงใจลูกค้ามาอย่างสม่ำเสมอ
- People ในส่วนของตัวแทนที่ปรึกษาการเงิน (Wealth Assistant) บริษัทได้ทำการสร้าง Model Wealth Assistant ให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการลงการลงทุน ประกันชีวิต ด้วยการฝึกอบรมและสอบใบอนุญาต ทั้งด้านประกันและ มี License ครบ ทั้ง Single License และ License ประกันชีวิต และประกันวินาศภัย เพื่อที่จะสามารถเข้าใจ Model A-Life Plan ถึงความสำคัญต่อการวางแผนการเงินให้กับลูกค้าว่า มีความต้องการทางด้านการเงินในอนาตตเป็นอย่างไร เพื่อให้ลูกค้าได้บรรลุเป้าหมายทางการเงินได้อย่างแท้จริง
- Prospect นอกจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์ บุคลากรแล้ว ในปีนี้เอไลฟ์มีการขยายกลุ่มลูกค้าอย่างชัดเจน เพื่อให้สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์ และการให้บริการ A-Life Plan โดยเน้นกลุ่มลูกค้าที่เป็นเจ้าของกิจการ และกลุ่มลูกค้ามนุษย์เงินเดือนที่มีฐานภาษี 20% ขึ้นไป ในการช่วยออกแบบการวางแผนการเงินที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละบุคคลได้อย่างตรงจุด
ดร.เจตน์สุระ กล่าวต่ออีกว่า นอกจากกลยุทธ์ 3P แล้วยังได้พัฒนาระบบ CRM ในการบริหารจัดการให้มีความคล่องตัวยืดหยุ่น ด้วยแนวทางกลุทธ์ “เล็ก-เก่ง-ไว” ในแบบฉบับของเอไลฟ์ ให้มีความเฉพาะตัวมากขึ้น ในด้าน C-Customer แบ่งกลุ่มลูกค้าให้มีความชัดเจน จัดกิจกรรม และการให้บริการแก่กลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย R-Relation ความสัมพันธ์ที่ไร้กรอบและข้อจำกัด ซึ่งคือความสัมพันธ์ระยะยาวที่เอไลฟ์ จะมอบให้กับลูกค้าระยะยาว ด้วยการดูแลและการวางแผนทางการเงินในทุกช่วงจังหวะของชีวิต ในแนวคิด Life Partner หรือการให้บริการ A-Life Plan, Best Financial Friend ที่เปรียบเสมือนเพื่อนของลูกค้า ผ่านการทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกันเพื่อเป็นพื้นฐานการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวในอนาคต
และ M-Management การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้องค์กรเดินหน้าสู่ความสำเร็จ ในการดูแล วางแผน สร้างความสัมพันธ์ระยะยาวให้แก่ลูกค้า ซึ่งที่ผ่านมาเอไลฟ์ได้ให้ความสำคัญในการบริหารจัดการที่นำทีมผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถ มาช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพการทำงาน โดยใช้เทคโนโลยี Business Process Workflow Management อย่างเต็มรูปแบบเข้ามาสนับสนุนการให้บริการแก่ลูกค้า ตลอดจนการพัฒนาขีดความสามารถของทีมงานให้มีความเป็นระบบ ภายใต้วิสัยทัศน์ขององค์กรที่เป็นสถาบันการเงินที่ให้บริการทางการเงินเป็นเลิศ มุ่งสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า พนักงานและผู้ถือหุ้น
“กลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจของบริษัทในปีนี้ ยังคงย้ำกรอบ “เล็ก-เก่ง-ไว” ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ด้านการวางแผนการเงิน สร้างการจดจำแบรนด์ไปสู่กลุ่มเป้าหมาย เพื่อเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งในฐานะบริษัทที่ปรึกษาการวางแผนการเงินที่สามารถออกแบบไลฟ์สไตล์ทางการเงินได้อย่างสร้างสรรค์” ดร.เจตน์สุระ กล่าว
ขณะที่ ดร.เมธี จันทวิมล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทแอ๊ดวานซ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าในปัจจุบันคนไทยมีการออมเงิน มีการลงทุน และมีการบริหารความเสี่ยง ยังไม่มั่นใจในแผนการเงินที่มีและยังขาดความรู้ความเข้าใจในการบริหารสินทรัพย์และหนี้สินอย่างเป็นระบบ เอไลฟ์นับเป็นหนึ่งในสถาบันทางการเงินที่สนับสนุนให้คนไทยวางแผนการเงินอย่างเป็นระบบเพื่อวางรากฐานของอนาคตให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยการพัฒนาทีมงานที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคล การบริการ และผลิตภัณฑ์ โดยในปีนี้เอไลฟ์ยังคงมุ่งเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ในรูปแบบการออมระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว โดยผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นยังคงให้ความสำคัญมาที่การออมระยะกลางถึงยาวมากขึ้น เนื่องจากในปีนี้ทิศทางดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาลง การล็อกผลตอบแทนด้วยการออมระยะยาวจะช่วยให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากผลตอบแทนที่สูง ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ในส่วนช่องทางการขายที่ผ่านมาเอไลฟ์ ใช้ช่องทางการขายผ่านเทเลมาร์เก็ตติ้ง และทีมที่ปรึกษาการเงิน (Wealth Assistant) ที่ไม่มีการจ่ายค่าคอมมิชชั่น ดังนั้นผลตอบแทนที่ให้ลูกค้าจึงอยู่ในระดับที่น่าพอใจเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม ซึ่งในปีนี้เอไลฟ์ เตรียมเพิ่มสัดส่วนของทีมงานเพื่อมาเสริมสร้างการทำงานให้องค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ด้วยการสรรหาทีมงานที่มีความรู้ความสามารถ เปิดโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่ได้เข้ามาร่วมงานกับองค์กรมากขึ้น
“ในปีนี้เราเปิดโอกาสให้กับกลุ่มคนรุ่นใหม่ New Genaration ได้เข้ามาเรียนรู้การทำงานของเอไลฟ์มากขึ้น ด้วยการจัดกิจกรรมร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดอบรมให้ความรู้แก่นักศึกษา สร้างแรงบรรดาลใจในการเริ่มก้าวสู่ชีวิตในวัยทำงาน ได้รับรู้และเข้าใจการทำงานขององค์กร และพร้อมที่จะก้าวเข้ามาร่วมงานกับเอไลฟ์ ร่วมเป็นหนึ่งในการส่งเสริมให้คนไทยใส่ใจการบริหารการเงินส่วนบุคคล” ดร. เมธี กล่าว
อย่างไรก็ตามภายใต้กรอบกลยุทธ์การสร้างสรรค์ไลฟ์สไตล์ทางการเงินไปยังกลุ่มเป้าหมาย ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ช่องทางการสื่อสารใหม่ๆ รวมถึงการพัฒนาบุคลากร จะสามารถผลักดันให้การดำเนินธุรกิจของเอไลฟ์ขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้