สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทยวอนเลิกใช้อคติแก้โรคอ้วน ชี้อย่าเลือกปฏิบัติแต่กับน้ำอัดลม ต้องแก้ที่การบริโภคโดยรวม

อังคาร ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๐๑๓ ๑๖:๒๔
สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย ในฐานะศูนย์กลางของผู้ประกอบอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ในประเทศไทย ไม่เห็นด้วยกับเครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานที่เรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มภาษีน้ำอัดลมเพื่อแก้ปัญหาโรคอ้วน ระบุการเลือกปฏิบัติกับสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ช่วยแก้ปัญหา ต้องเลิกใช้อคติในการกล่าวโทษ และเร่งปรับพฤติกรรมการบริโภคในภาพรวม

นายวีระ อัครพุทธิพร อุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมเครื่องดื่มไทย เปิดเผยว่าสมาคมฯไม่เห็นด้วยกับการที่เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวานออกมาเรียกร้องให้รัฐขึ้นภาษีน้ำอัดลมเพื่อแก้ปัญหาโรคอ้วน โดยเห็นว่าเป็นการใช้อคติและเลือกปฏิบัติ และจะไม่ช่วยแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง เพราะเพ่งเล็งไปที่ผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียว ในขณะที่โรคอ้วนเกิดจากพลังงานส่วนเกินที่สามารถมาได้จากอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิด

“เป็นที่ยอมรับกันในแวดวงวิชาการว่า พลังงานส่วนเกินไม่ว่าจะมาจากอาหารและเครื่องดื่มประเภทใดล้วนแต่ทำให้เกิดโรคอ้วนได้ การแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดจึงต้องมุ่งไปที่การส่งเสริมการบริโภคที่เหมาะสมในภาพรวม เราได้พยายามสื่อสารประเด็นนี้มาหลายครั้งในหลายโอกาสแล้ว แต่ไม่ได้รับความสนใจและยังมีข้อเรียกร้องให้ขึ้นภาษีแต่เฉพาะกับน้ำอัดลมออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเราคิดว่าเป็นการหลงประเด็นและไม่เป็นธรรม นอกจากนี้ มักจะมีการหยิบยกสถานการณ์ในและรอบๆ โรงเรียนมาโจมตีน้ำอัดลมอยู่เสมอ แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ในจุดเหล่านี้ ไม่ได้มีการขายแต่เฉพาะน้ำอัดลม แต่มีทั้งอาหาร ขนม และเครื่องดื่มอีกหลายชนิด รวมถึงน้ำผลไม้และน้ำสมุนไพรที่มีการรณรงค์ให้บริโภคทดแทนน้ำอัดลมด้วย ซึ่งถ้ามีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบและมีการบริโภคที่เกินพอดีแล้ว ก็ส่งผลไม่ต่างจากการบริโภคน้ำอัดลมที่เกินพอดี ถ้าเก็บภาษีน้ำอัดลมให้น้ำอัดลมราคาแพงๆ แล้วคนหันไปบริโภคเครื่องดื่มหรืออาหารหวานอื่นๆ ที่ไม่เสียภาษีทดแทน แล้วจะมีประโยชน์อะไร เงินภาษีที่เคยเก็บได้ก็จะไม่ได้ และคนก็เปลี่ยนจากได้รับน้ำตาลจากทางหนึ่งไปได้รับจากอีกทางหนึ่ง ที่น่าสงสัยกว่านั้น คือตกลงนโยบายนี้แค่อยากให้น้ำอัดลมขายไม่ได้ หรือสนใจสุขภาพผู้บริโภคกันแน่ เพราะการบริโภคน้ำอัดลมหรือไม่ ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ตัวเดียวว่าใครจะอ้วนหรือสุขภาพดีหรือไม่ เราต้องพูดถึงพฤติกรรมการบริโภคในภาพรวม” นายวีระกล่าว

ส่วนในกรณีที่มีการอ้างถึงการศึกษาและสถานการณ์ในต่างประเทศเพื่อสนับสนุนมาตรการเพิ่มภาษีน้ำอัดลมนั้น นายวีระกล่าวว่า “แต่ละประเทศมีสถานการณ์แตกต่างกัน การแก้ปัญหาที่ถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์จึงต้องเริ่มจากการศึกษาให้ถ่องแท้ก่อนว่าสถานการณ์ของประเทศไทยเป็นอย่างไร ไม่ใช่ตั้งเป้ามาที่สินค้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แล้วก็เลือกนำเสนอข้อมูลแต่เฉพาะที่ตอบโจทย์นั้นๆ เช่น ประเทศไทยทุกวันนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่เก็บภาษีสรรพสามิตจากน้ำอัดลมมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว แต่แทนที่จะมองเรื่องนี้เป็นข้อบ่งชี้ว่าการเลือกปฏิบัติกับสินค้าอย่างใดอย่างหนึ่งไม่สามารถแก้ปัญหาโรคอ้วนได้ กลับเสนอให้เพิ่มการเก็บภาษีน้ำอัดลม โดยไม่เคยพิจารณาสินค้าอื่น หรือแม้แต่เครื่องดื่มผสมน้ำตาลอื่นๆ ที่ผู้ขายชงขายกันทั่วไป ซึ่งเราไม่ได้หมายความว่าเครื่องดื่มเหล่านี้บริโภคไม่ได้ แต่ทุกอย่างล้วนต้องบริโภคให้เหมาะสม รวมถึงเครื่องดื่มน้ำอัดลมด้วย จึงไม่มีเหตุผลใดเลยที่จะมาเลือกปฏิบัติกับน้ำอัดลมหรือน้ำตาลเพียงอย่างเดียว อย่างในประเทศออสเตรเลีย ช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1980 - 2003 มีการบริโภคน้ำตาลน้อยลงถึงร้อยละ 23 แต่ในช่วงเวลาเดียวกันอัตราประชากรที่มีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนกลับเพิ่มสูงขึ้นถึง 3 เท่าตัว เดนมาร์คที่ริเริ่มเก็บภาษีไขมัน ทำมาได้แค่ปีเดียวก็ต้องยกเลิกไป และก็ล้มเลิกแผนที่จะเก็บภาษีน้ำตาลไปด้วย เนเธอร์แลนด์เพิ่งยกเลิกการเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ไปเมื่อปีก่อน ประเด็นเหล่านี้กลุ่มเด็กไทยไม่กินหวานไม่เคยนำมาพูดถึงเลย มีแต่นำเสนอข้อมูลของตนด้านเดียว”

“หลายครั้ง เราเห็นว่ามีการพยายามอ้างอิงผลการศึกษาว่าการบริโภคน้ำอัดลมมีความเสี่ยงต่อสุขภาพมากกว่าเครื่องดื่มอื่นๆ แต่งานศึกษาเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นงานที่ยังไม่ได้ข้อสรุปทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน โดยในบทความฉบับเต็มจะบอกเสมอว่าจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม แต่พอมีการนำมาอ้างอิงหรือเผยแพร่ กลับนำเสนอราวกับว่าประเด็นเหล่านี้มีข้อสรุปที่ชัดเจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกแล้ว ซึ่งอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดและความตื่นตระหนกได้ ทั้งๆ ที่น้ำอัดลมก็ได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วว่าสามารถบริโภคได้อย่างปลอดภัย” นายวีระกล่าวทิ้งท้าย

อนึ่ง จากการศึกษาเรื่อง “สัดส่วนพลังงานที่คนไทยได้จากอาหาร” โดย ผศ.ดร.นิภา โรจน์รุ่งวศินกุล สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งใช้ข้อมูลจากโครงการสำรวจการบริโภคอาหารของประเทศไทย ระหว่างปี 2545 — 2547 พบว่าคนไทยได้รับพลังงานจากการบริโภคเครื่องดื่มในแต่ละวันน้อยมาก โดยในกลุ่มอายุ 20 - 64.9 ปี ได้รับพลังงานจากเครื่องดื่มในสัดส่วนเพียงร้อยละ 1.4 ต่อพลังงานทั้งหมดที่ได้รับจากอาหารและเครื่องดื่มในแต่ละวัน และเพียงร้อยละ 2 ในกลุ่มอายุ 6 — 19.9 ปี จึงสรุปได้ว่า เครื่องดื่มไม่ได้เป็นแหล่งพลังงานหลักของประชากรไทย

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๕ เม.ย. Electronic Nose นวัตกรรมตรวจวัดกลิ่น! เพื่อสิ่งแวดล้อมที่ดี กรมอนามัย ร่วม MOU กรมควบคุมมลพิษ และ 4 หน่วยงานรัฐ - เอกชน
๒๕ เม.ย. ITEL ประชุมผู้ถือหุ้นประจำปี 68 ไฟเขียวอนุมัติแจกวอร์แรนต์ฟรี ลุยขยายธุรกิจ
๒๕ เม.ย. สวทช. โดย นาโนเทค เฟ้นหา 8 ผู้ประกอบการ ต่อยอดนวัตกรรมสมุนไพรสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง
๒๕ เม.ย. คาเฟ่ แคนทารี ชวนมาลิ้มลองเมนูพิเศษประจำเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน 2568 อร่อยครบเครื่องทั้งรีซอตโตต้มยำ เครป
๒๕ เม.ย. ซีพี ออลล์ x มูลนิธิชาวปักษ์ใต้ ร่วมสนับสนุนทุนการศึกษาเพื่ออาชีพแก่เยาวชนในจังหวัดภาคใต้
๒๕ เม.ย. ซีพีแรม ดีเดย์ เปิดเวที FINNOVA 2025 : ยกระดับความรู้สู่นวัตกรรมอาหาร ปักหมุดไทยศูนย์กลางนวัตกรรมอาหารโลก
๒๕ เม.ย. ดีไซน์เพื่อชีวิตที่ไม่หยุดนิ่ง: อาดิดาส ออริจินอลส์ เผยโฉม ADIZERO ARUKU พร้อมพื้นรองเท้าแบบโปรเกรสซีฟ
๒๕ เม.ย. พรีโม จับมือ Q-CHANG จัดทัพทีมช่างกว่า 2,000 ทีม! ยกระดับบริการซ่อมห้องชุด ตอกย้ำแนวคิด Primo Happy Maker
๒๕ เม.ย. ครั้งแรก กับ Dance (แดนซ์) Glossy Body Hair Perfume Mist น้ำหอม 2-in-1 พร้อมเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์คนใหม่ เก๋ไก๋ บุกใจกลางกรุง ชวนสาวๆ
๒๕ เม.ย. SCB CIO ชี้ 3 ปัจจัยกระทบตลาดการเงินฉุดสินทรัพย์ทั่วโลกผันผวน แนะระวังการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เพิ่มน้ำหนักหุ้นกู้ระยะสั้นคุณภาพดี และ