- จับมือมหาวิทยาลัยคังฮี (Kyung Hee University) มหาวิทยาลัยสร้างศิลปินแห่งเกาหลีใต้ และมหาวิทยาลัยโตกัย (Tokai University) แห่งญี่ปุ่น เพื่อเสริมเครือข่ายสู่มาตรฐานโลก
- รุกธุรกิจการศึกษาและบันเทิง
กลุ่มบริษัทออเคสตร้า อินเวสท์เตอร์ กรุ๊ป เดินหน้าธุรกิจการศึกษาและบันเทิง โดยล่าสุดจับมือกับมหาวิทยาลัยคังฮี ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยสร้างศิลปินในประเทศเกาหลี และมหาวิทยาโตกัย จากประเทศญี่ปุ่น ในการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลก อีกทั้งยังเสริมสร้างความร่วมมือในโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาเพื่อเสริมความรู้และประสบการณ์ให้แก่นักศึกษาในวิทยาลัยศิลปินแห่งเอเชีย หรือ Superstar College of Asia เพื่อรองรับการรวมตัวตลาดเดียวของอาเซียนหรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asean Economics Community: AEC)
นายพิสิษฏ์พงศ์ (ภูมิ) วรเศรษฐการกิจ ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท ออเคสตร้า อินเวสท์เตอร์ กรุ๊ป เปิดเผยว่าขณะนี้ทางกลุ่มฯ ได้ทุ่มงบประมาณ 150 ล้านบาทในการจัดตั้งวิทยาลัยศิลปินแห่งเอเชียหรือ Superstar College of Asia โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการรับสมัครนักศึกษารุ่นแรก และจะเปิดการเรียนการสอนในปีการศึกษานี้ โดยจะเริ่มในเดือนสิงหาคม (ตามระบบอาเซียน) โดยจุดแข็งของวิทยาลัยแห่งนี้คือคณะอาจารย์กว่า 100 คนที่มีประสบการณ์จริงในวงการบันเทิง รวมถึงผู้บริหารจากค่ายและสังกัดต่างๆ อีกทั้งหลักสูตรที่สร้างศิลปินโดยการเน้นการปฏิบัติจริงให้ตรงกับความต้องการของตลาดอุตสาหกรรมบันเทิง และนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษา 4 ปีจะได้รับปริญญาตรีศิลปกรรมศาสตรบัณฑิต สาขาดนตรี หรือ สาขาศิลปะการแสดง จากมหาวิทยาลัยสยาม ซึ่งได้รับการรับรองอย่างถูกต้องจากกระทรวงศึกษาธิการ โดยภายในรุ่นแรกตั้งเป้ารับนักศึกษาจำนวนเพียง 200 คน
นายพิสิษฏ์พงศ์กล่าวว่าการร่างหลักสูตรการเรียนการสอนของวิทยาลัย Superstar College of Asia นี้ เป็นหลักสูตรที่พัฒนาจากคณะอาจารย์ชั้นนำจากสถาบันต่างๆ โดยความร่วมมือของสมาคมครูดนตรีแห่งประเทศไทย กรรมการบริหารผู้ทรงคุณวุฒิของวิทยาลัย ประสบการณ์และความต้องการจริงของผู้เชี่ยวชาญในวงการบันเทิง นอกจากนี้นักศึกษายังจะได้รับประโยชน์จากการร่วมมือระหว่างวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยคังฮี และมหาวิทยาลัยโตกัย ซึ่งเป็นสถาบันที่มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับมหาวิทยาลัยสยาม ดังนั้น ความสัมพันธ์นี้จะถ่ายทอดมายังวิทยาลัย Superstar College of Asia ด้วย จึงทำให้ตนเชื่อมั่นว่าเมื่อนักศึกษาสำเร็จการศึกษาจะเป็นที่ต้องการของตลาดบันเทิงทั้งภายในประเทศและต่างประเทศอย่างมาก
“ถ้าพูดถึงมหาวิทยาลัยที่เรามีความร่วมมือกันทั้ง 2 แห่งนี้ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยคังฮี ซึ่งก่อตั้งมากว่า 60 ปี (เปิดในปี ค.ศ. 1948) ปัจจุบันมีนักศึกษากว่า 32,000 คน มีวิทยาเขต 3 แห่ง บนพื้นที่กว่า 2,000 ไร่ในกรุงโซล รวม 27 วิทยาลัย และคณะอาจารย์กว่า 3,000 คน ปัจจุบันได้รับการยอมรับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับท็อปเท็นของเกาหลี นับเป็นมหาวิทยาลัยที่ผลิตศิลปินแห่งแรกในประเทศเกาหลี และได้รับการยอมรับว่ามีหลักสูตรด้านดนตรีเอกขับร้องเป็นอันดับท๊อปของประเทศ (เปิดวิทยาลัยดนตรีมากว่า 50 ปีตั้งแต่ปี ค.ศ. 1962) ซึ่งผลงานที่ผ่านมาได้ผลิตศิลปินที่โด่งดังไปทั่วโลก เช่น เรน (Rain), Cho Kyu Hyun (Super Junior), Kim Young-woon (Super Junior), Han Seung-yeon (Kara), Changmin (TVXQ หรือ ดงบังชิงกิ), Park Ye Eun (Wonder Girls), Kwon Ji Yong (G-Dragon of Big Bang), Kang Dae Sung (Big Bang), Lizzy (Afterschool) ก็จบจากสถาบันแห่งนี้ ส่วนมหาวิทยาลัยโตกัยนั้นก่อตั้งมากว่า 70 ปี (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1942) ปัจจุบันมีนักศึกษากว่า 30,000 คน มีวิทยาเขต 10 แห่ง รวม 22 วิทยาลัย และคณะอาจารย์กว่า 2,000 คน นับเป็นหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ก็มีคณะการดนตรีที่มีประสบการณ์การสอนมาอย่างยาวนาน และมีการแสดงไปทั่วโลก โดยล่าสุดก็ได้มีการจัดแสดงเทิดพระเกียรติให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในประเทศไทย เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมาร่วมกับมหาวิทยาลัยสยาม และวิทยาลัยศิลปินแห่งเอเชียด้วย” นายพิสิษฏ์พงศ์ กล่าว
นายพิสิษฏ์พงศ์กล่าวเพิ่มเติมว่าภายใต้ความร่วมมือระหว่าง Superstar College of Asia และมหาวิทยาลัยคังฮีและมหาวิทยาลัยโตกัยนั้น จะมีการแลกเปลี่ยนคณะอาจารย์ที่สอนจากมหาวิทยาลัยทั้งสองแห่งในสาขาวิชาที่ Superstar College of Asia เปิดการเรียนการสอน รวมไปถึงโครงการแลกเปลี่ยนนักศึกษาระหว่างกันด้วย
“หลักสูตรของเรานั้น ออกแบบสำหรับสร้างความฝันที่จะเป็นศิลปินตามความเป็นตัวของตนเองที่ต่างกันของนักศึกษาให้เป็นจริง ในขณะที่โอกาสในตลาดงานเหล่านี้ อุตสาหกรรมบันเทิงยังมีความต้องการอีกมาก ปัจจุบันนี้รายได้รวมของบริษัทบันเทิงในตลาดหลักทรัพย์ตามข้อมูลปี 2011 มีมูลค่ารวมกว่า 50,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมบริษัทส่วนใหญ่ที่ไม่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ นับเป็นอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่มาก นอกจากนี้ธุรกิจบันเทิงยังมีความต้องการ Content เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากโทรทัศน์เคเบิ้ลและดาวเทียมที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 200 ช่อง อีกทั้งรัฐบาลได้ประกาศเดินหน้า Digital TV อินเตอร์เน็ต 3G และ 4G และในอนาคตอันใกล้ จะมีช่องโทรทัศน์และสื่อสมัยใหม่เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ทำให้ปัจจุบันนี้ประเทศไทยยังขาดบุคลากรที่มีคุณภาพทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังอีกเป็นจำนวนมาก อีกทั้งประเทศไทยจะถูกรวมเป็นสมาชิก AEC ทำให้เราต้องวางแผนการผลิตบุคลากรป้อนให้กับวงการบันเทิงทั้งภายในประเทศและนอกประเทศอีกด้วย” นายพิสิษฏ์พงศ์ กล่าว
นายพิสิษฏ์พงศ์กล่าวว่าเมื่อข้อตกลง AEC เริ่มต้นในปี 2558 จะเป็นการพัฒนา Superstar College of Asia ไปอีกระดับหนึ่งโดยวิทยาลัยจะเปิดหลักสูตร International Program เพื่อรองรับนักศึกษาจากประเทศต่างๆ ใน ASEAN ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศเดียวที่มีความพร้อมในการฝึกบุคลากรทั้งระดับเบื้องหน้าและระดับเบื้องหลัง ป้อนให้กับประเทศเหล่านี้
“จากข้อมูลของสมาคมครูดนตรีแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นตัวแทนของกระทรวงศึกษาธิการในการจัดสัมมนาครูดนตรีอาเซียนทุกปี พบว่าหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน ยังติดอยู่กับวัฒนธรรมท้องถิ่นที่มีระดับการยอมรับธุรกิจบันเทิงในระดับที่แตกต่างกัน บางประเทศไม่เปิดให้กับการเรียนการสอนสมัยใหม่แบบนี้ อีกทั้งวัฒนธรรมของประเทศใกล้เคียงที่นิยมเสพย์สื่อจากประเทศไทยเป็นต้นแบบ และนิยมศิลปินไทยอยู่แล้ว ทำให้นักศึกษาเหล่านี้จะเข้ามาเรียนที่ประเทศไทย และเรา Superstar College of Asia จะมีความพร้อมเมื่อถึงเวลานั้น เพราะเราเตรียมทั้งหลักสูตรและเงินทุนพร้อมที่จะลงทุนเพิ่มเพื่อรองรับโอกาสครั้งนี้” นายพิสิษฏ์พงศ์ กล่าว
นายพิสิษฏ์พงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่าเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักศึกษาที่เข้าเรียนใน Superstar College of Asia ทางวิทยาลัยได้ตั้งหน่วยงานที่เรียกว่า Career Center เพื่อจัดหางานให้แก่นักศึกษาได้มีโอกาสสร้างรายได้ระหว่างเรียนตั้งแต่เข้าเรียนปีที่หนึ่ง ผ่านทางพันธมิตรทางธุรกิจในวงการบันเทิงของบริษัทในเครือซึ่งมีทั้งบริษัทในวงการเพลง วงการโทรทัศน์ และวงการอีเว้นท์ อีกทั้งการทำงานถือเป็นการเรียนจากสนามจริง ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับวิชาชีพนี้ ซึ่งสถาบันแห่งอื่นอาจไม่มีความสัมพันธ์ในวงการบันเทิงแบบเราและไม่สามารถให้โอกาสลักษณะนี้แก่นักศึกษาได้
นายพิสิษฏ์พงศ์ กล่าวเสริมว่าในส่วนของธุรกิจการผลิตรายการทีวีขณะนี้ ทางกลุ่มฯ อยู่ระหว่างการเจรจารูปแบบรายการกับ บมจ. อสมท. ซึ่งเป็นผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท. ในการเปิดตัวรายการใหม่ ในขณะที่รายการ Thailand’s Most Famous ขวัญใจไทยแลนด์ Season 2 จะดำเนินการต่อไปกับสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 ภายในปลายปีนี้
“ธุรกิจในกลุ่มของเรานั้น นอกจากสถาบันการศึกษาด้านบันเทิงแล้ว เรายังมีรายการโทรทัศน์ และเรายังรับจัดงานในลักษณะ Organizer งานต่างๆ ด้วย ซึ่งเป็นรายได้ต่อเนื่องเข้ามา” นายพิสิษฏ์พงศ์กล่าว และเสริมว่าปี 2012 ที่ผ่านมา ทางกลุ่มฯ มีรายได้รวมกว่า 250 ล้านบาท แบ่งเป็น 25% จากสถาบันการศึกษา 10% จากรายการโทรทัศน์ และ 65% จากกิจกรรมอื่นๆ เช่น Organizer และ Career Center เป็นต้น โดยในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้เติบโตประมาณ 20% จากรายได้ในส่วนของวิทยาลัยที่เปิดเพิ่มขึ้น