นายพิศาล ธรรมวิเศษ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท พีดีเฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ กล่าวว่า ในช่วงสองเดือนของไตรมาสแรกปี2556นี้ พบว่ายอดขายบ้านจาก 33 สาขาทั่วประเทศเติบโตได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก หรือเติบโตกว่าร้อยละ 30 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เป็นผลมาจาก4ปัจจัยหลักๆ คือ ประการแรก เกิดจากการขยายฐานตลาดรับสร้างบ้านหรือขยายสาขาของบริษัทฯ ออกไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้น โดยปัจจุบันสามารถให้บริการได้กว่า 60 จังหวัด ประการถัดมา ความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคเติบโตดีขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล หลังจากเคยเป็นพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมก่อนหน้านี้ ประการที่สามผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญและสนใจสร้างบ้านประหยัดพลังงานมากขึ้น ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวถือเป็น “จุดแข็ง” ของพีดีเฮ้าส์ในฐานะบริษัทรับสร้างบ้านที่ได้รับรางวัลบ้านอนุรักษ์พลังงาน ประเภทดีและดีมาก จำนวน 21 รางวัลจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน และประการสุดท้าย ตลาดรับสร้างบ้านปีนี้แข่งขันกันไม่รุนแรงนักเนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังกังวลกับปัญหาแรงงานขาดแคลน โดยเฉพาะรายที่ยังใช้ระบบก่อสร้างแบบเดิม (หล่อในที่) เพราะต้องพึ่งพาแรงงานจำนวนมาก
“ปี 2556นี้ ประเมินว่าตลาดรวมรับสร้างบ้านจะมีมูลค่าประมาณ 9,500-10,000 ล้านบาท โดยมีบริษัทรับสร้างบ้านที่มีรูปแบบชัดเจน และแข่งขันอยู่ในตลาดจำนวน 114 ราย ทั้งนี้ในส่วนของ พีดีเฮ้าส์ เองตั้งเป้าแชร์ส่วนแบ่งตลาดหรือมียอดขายบ้านรวมทุกสาขาทั่วประเทศ 1,400-1,500ล้านบาท โดยคาดว่าจะเป็นยอดขายจากสาขาในต่างจังหวัดร้อยละ 75หรือประมาณ1,100 ล้านบาทเศษ และยอดขายจากสาขาในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลประมาณร้อยละ 25 หรือประมาณเกือบ 400 ล้านบาท ในปัจจุบันศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ มีสาขาเปิดให้บริการจำนวน 33 สาขา โดยปีนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนจะขยายสาขาเพิ่มอีก 4-5 สาขา เช่น กาญจนบุรี ชุมพร ร้อยเอ็ด ฯลฯ เป็นต้น”
สำหรับการรับมือกับปัญหาขาดแคลนแรงนั้น บริษัทฯ ได้นำระบบก่อสร้างสำเร็จรูป (Prefab) มาใช้ในการก่อสร้างบ้านทุกหลัง โดยจับมือกับพาร์ทเนอร์หรือพันธมิตรที่เชี่ยวชาญเป็นผู้ผลิต ดังนั้น จึงสามารถสร้างบ้านต่อปีได้มากกว่าและก่อให้เกิด Economy of Scale ผลดังกล่าวทำให้บริษัทฯ มีความได้เปรียบในการบริหารต้นทุนก่อสร้าง ต้นทุนค่าดำเนินงานรวมทั้งค่าการตลาดโดยเฉลี่ยต่ำกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งขันที่ใช้การก่อสร้างระบบเดิม (หล่อในที่)ซึ่งใช้ระยะเวลาก่อสร้างต่อหลังนานกว่าและต้องใช้แรงงานจำนวนมาก นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนจะพัฒนาระบบก่อสร้างบ้านที่ลดการใช้แรงงานคนลง โดยจับมือกับพาร์ทเนอร์ที่เชี่ยวชาญระบบก่อสร้างสำเร็จรูป รวมทั้งเพื่อจะรุกขยายตลาดรับสร้างบ้านทั้งในประเทศและอาเซียนต่อไปในอนาคต
นายพิศาล กล่าวต่ออีกว่า สำหรับการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานครที่จะมีขึ้นเร็วๆ นี้ นอกจากปัญหาของชาวกรุงเทพฯ ตามที่ประชาชนทั่วไปเรียกร้องให้เข้ามาแก้ไข อย่างเช่น การจราจร ยาเสพติด รถเมล์สาธารณะ ฯลฯ เป็นต้นแล้ว โดยส่วนตัวอยากให้ผู้ว่าฯ เข้ามาแก้ปัญหาการออกใบอนุญาตก่อสร้างให้เร็วขึ้น เพราะความล่าช้าดังกล่าวมีผลเสียต่อธุรกิจและเศรษฐกิจ รวมถึงการเรียกรับเงินใต้โต๊ะจากการออกใบอนุญาตก่อสร้างและการออกเลขที่บ้านให้ประชาชน ที่สำคัญคือ การสมยอมให้ให้ผู้ประกอบการหรือผู้ขออนุญาต ก่อสร้างอาคารผิดไปจากแบบแปลนที่ได้รับอนุญาตก่อสร้าง ซึ่งส่งผลต่อสภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยและก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมา จึงขอฝากถึงว่าที่ผู้ว่ากรุงเทพฯ ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ด้วย