นางลดาวรรณ เจริญรัชต์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวว่า ด้านเศรษฐกิจของไทยในระยะกลางประมาณ 6-12 เดือน บริษัทฯ ยังมีมุมมองในเชิงบวก โดยพิจารณาจากวัฏจักรการลงทุนภาครัฐ และเอกชนที่เข้าสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวมถึงการบริโภคที่เร่งตัวขึ้นจากฐานรายได้ที่สูงขึ้น โดยเศรษฐกิจที่เติบโตเอื้อต่อการไหลเข้าของเงินทุน ทำให้บริษัทฯ คาดว่า SET Index มีโอกาสปรับขึ้นแตะระดับประมาณ 1,600-1,620 จุด ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า หรือมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากระดับปัจจุบันอีก 5.2-6.5% ขณะที่ความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่างประเทศ ทั้งจากยุโรป และสหรัฐฯ มีแนวโน้มสร้างความผันผวนในระยะสั้น และอาจกดดัน SET Index ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 1,500-1,520 จุด ซึ่งจะเป็นจังหวะให้เข้าลงทุนได้ในระดับดัชนีที่สมเหตุสมผล โดยกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับสภาวะตลาดช่วงนี้ คือ การเลือกจังหวะการลงทุน โดยเลือกหุ้นที่มีปัจจัยเฉพาะตัวโดดเด่น และมีการปรับน้ำหนักการลงทุนโดยหาประโยชน์จากความผันผวนของตลาด
ดังนั้น บริษัทฯ จึงเล็งเห็นว่า ช่วงนี้เป็นจังหวะเหมาะที่จะเข้าลงทุนในหลักทรัพย์เป้าหมายที่มีระดับราคาน่าลงทุน และมีเป้าหมายเพื่อสร้างผลตอบแทนจากการเน้นลงทุนหุ้นรายตัว โดยไม่เทียบกับการปรับตัวของตลาด ดังนั้น ตั้งแต่วันนี้ ถึง 28มีนาคม บริษัทฯ เสนอขาย กองทุนเปิดแอสเซทพลัสไพร์ม 4 (ASP-PRIME 4) เป็นกองทุนผสมที่สามารถปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นได้ 0-100% ที่เน้นลงทุนในหุ้นไทย และมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทน 5% ใน 6 เดือน โดยกองทุน ASP-PRIME 4 จะเน้นลงทุนในหุ้นไทยรายตัว ที่คาดว่ามีการเติบโตของกำไรต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะให้ผลตอบแทนในระดับที่น่าพอใจใน 6 เดือน
โดยกลุ่มธุรกิจที่บริษัทฯ ให้ความสนใจให้น้ำหนักการลงทุน คือ หุ้นกลุ่มสินค้าพื้นฐานและสินค้าโภคภัณฑ์ ที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ประกอบกับสภาพคล่องที่ล้นระบบการเงินโลก รวมถึงภาวะอุปทานส่วนเกินในบางอุตสาหกรรมที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน ที่ได้รับการสนับสนุนการลงทุนจากภาครัฐ และเอกชนในอนาคต อาทิ การลงทุนระบบรางจากภาครัฐบาล และการลงทุน 3G จากภาคเอกชน หุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภคภายในประเทศ จากภาวะการลงทุนภาคเอกชน และการบริโภคในประเทศที่เข้าวงจรสูงสุด นโยบายค่าแรง 300 บาท นโยบายจำนำข้าว และภาวะดอกเบี้ยต่ำที่เอื้อต่อการบริโภคในครัวเรือน หุ้นกลุ่มพลังงานทางเลือก จากแผนพัฒนาพลังงานทางเลือกล่าสุดของภาครัฐ มีเป้าหมายว่าในอนาคตจะเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลม จาก 75 เมกะวัตต์ (MW) และ 7 MW เป็น 2,000 MW และ 1,200 MW ตามลำดับ สุดท้าย ผู้จัดการกองทุนจะเลือก หุ้นรายตัวที่มีปัจจัยโดดเด่นเพียงพอที่จะต้านทานความผันผวนของตลาด รวมถึงมีปัจจัยพื้นฐานที่เหมาะสมกับการลงทุนในระยะสั้น-กลาง หรือธุรกิจที่มี Turnaround ในบางจังหวะลงทุน
ทั้งนี้ กองทุนได้ตั้งเป้าหมายผลตอบแทนที่ 5% ใน 6 เดือน ซึ่งเป็นระดับเป้าหมายผลตอบแทนที่เหมาะสมในภาวะที่ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับตัวได้ในระดับเดียวกัน โดยผู้จัดการกองทุนจะใช้วิธีการคัดเลือกหุ้นและการให้น้ำหนักลงทุนในหุ้นที่จะสร้างกำไร และใช้ Market Timing คือ การหาจังหวะเข้าซื้อขายหุ้น เพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ ภายในระยะเวลา 6 เดือน
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2556 มูลค่าหน่วยลงทุน (NAV) ของกองทุนเปิดแอสเซทพลัสไพร์ม 3 (ASP-PRIME3) อยู่ที่ 10.9050 บาท บาท ปรับผ่านจุดที่กำหนด 10.90 บาท สร้างผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนได้ตามเป้าหมาย 9% จากเงินลงทุนเริ่มแรกที่หน่วยลงทุนละ 10 บาท ภายในระยะเวลาประมาณ 3 เดือน นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนเมื่อเดือน ธ.ค. 55 และสามารถปิดกองทุนได้ก่อนครบอายุโครงการซึ่งมีอายุ 1 ปี หลังจากกองทุนได้รับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติครั้งแรก เมื่อมูลค่า NAV ของกองทุนอยู่ที่ระดับ 10.5012 บาท ปรับผ่านจุดที่กำหนด 10.50 บาท ไปเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2556