นายสุวัฒน์ กล่าวด้วยว่า ขณะที่ทุกค่ายเร่งปรับตัวด้วยการออกเมนูอื่นๆ มาเสริมนอกเหนือจากเมนูหลักของตัวเอง แต่สุดท้ายก็ขึ้นกับจุดยืนของแต่ละค่าย โดยหากเป็นกลุ่มข้าวและไก่ย่างแล้วก็ต้องเป็นเชสเตอร์ ที่สามารถตอบสนองพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคได้ทั้งในเรื่องโภชนาการ คุณค่าของอาหาร และที่สำคัญคือราคาที่คุ้มค่า ซึ่งจะส่งผลให้ตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น สามารถเพิ่มความถี่ของผู้ที่เข้ามาใช้บริการได้อีกเท่าตัว
“จากภาพรวมตลาดฟาสต์ฟู้ด (Quick Service Restaurant : QSR) ณ ปัจจุบันที่มูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มสินค้าไก่ 50%กลุ่มพิซซ่า 30% และกลุ่มเบอร์เกอร์ 20% มีอัตราการเติบโตรวมเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 10-15% นั้น มองว่าเป็นตลาดที่มีทั้งความแข็งแกร่งและศักยภาพในการขยายธุรกิจให้เติบโตมากยิ่งขึ้นได้อีก สำหรับในส่วนของเชสเตอร์ปีนี้ จะมุ่งให้บริการด้วยแผนการเพิ่มเมนูอาหารใหม่ๆ ในทุกไตรมาส หรือประมาณ 8 เมนูตลอดทั้งปี ล่าสุดได้เปิดตัว ข้าวปลาแซลมอนย่างมะนาว เพื่อสร้างสีสันและเป็นทางเลือกที่หลากหลายให้กับลูกค้า ขณะเดียวกันยังเพื่อเพิ่มความถี่ของผู้ที่เข้ามาใช้บริการ โดยยังคงชูจุดแข็งในเรื่องของราคาที่คุ้มค่า ภายใต้กลยุทธ์ความสำเร็จ 7P คือ Promotion Place Price Product Process People และ Physical Environment เพื่อให้ในสิ้นปีนี้ (2556) มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,900 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,600 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้” นายสุวัฒน์ กล่าวและว่า
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันกับเชนฟาสต์ฟู้ดต่างชาติ แม้จะประสบกับภาวะการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้น แต่ยังคงเชื่อมั่นในกลุ่มเป้าหมายของเชสเตอร์ คือกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน และกลุ่มครอบครัว ที่ชื่นชอบอาหารสชาติที่เยี่ยมถูกปากคนไทยและมีคุณค่าสูง ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักต่อการได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอย่างกว้างขวาง
ปัจจุบันร้านเชสเตอร์เปิดให้บริการทั้งหมด 176 สาขา แบ่งเป็นร้านของบริษัทฯจำนวน 76 สาขา หรือคิดเป็น 40% ร้านแฟรนไชส์ จำนวน 100 สาขา คิดเป็น 60% โดยจะขยายสาขาเพิ่มอีก 15-20 สาขาในปี 2556 ตามคอมมิวนีตี้มอลล์ ศูนย์การค้า ไอเปอร์มาร์เก็ต และสถานีบริการน้ำมัน โดยได้เตรียมงบการลงทุนจำนวน 170 ล้านบาท สำหรับ การ ขยายสาขาเพิ่ม ด้านงบการตลาดสำหรับปีนี้ ได้จัดเตรียมไว้ที่ 80-90 ล้านบาท โดยยังเน้นการโฆษณาประชาสัมพันธ์ไปยังผู้บริโภค