“บุรุษไปรษณีย์คือใคร มีหน้าที่อะไร แต่งตัวอย่างไร และใช้เครื่องมืออะไรบ้าง” นี่คือข้อสงสัยหลังจากที่เด็กๆได้เริ่มเรียนรู้แบบ Project Approach เรื่อง บุรุษไปรษณีย์ ในสัปดาห์แรกเด็กๆจึงได้เริ่มสืบค้น หาคำตอบจากสิ่งที่สงสัย ผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น หาคำตอบจากในอินเตอร์เน็ต โดยฝึกให้เด็กเข้าไปใน Google แล้วใช้ทักษะทางด้านภาษาไทยในการสะกดคำ ในการพิมพ์ตัวอักษรคำว่า “บุรุษไปรษณีย์” เข้าไป และครูยังได้นำหนังสือสารานุกรมภาพสำหรับเด็กมาให้เด็กๆได้ลองเปิดหาความหมาย สังเกตภาพกันอีกด้วย หลังจากที่เด็กๆได้หาความหมายของคำว่า “บุรุษไปรษณีย์” ตามวิธีการต่างๆแล้ว เด็กๆได้ร่วมกันวิเคราะห์จนสามารถสรุปได้ว่า “บุรุษไปรษณีย์ คือ คนที่เป็นผู้ชายหรือเพศชายทำหน้าที่ส่งจดหมาย ส่งสิ่งของอื่นๆตามเลขที่บ้าน หรืออยู่บนซองจดหมายโดยส่งทางไปรษณีย์ บุรุษไปรษณีย์ต้องมีมอเตอร์ไซค์ใช้ขี่ไปส่งจดหมาย พัสดุ กระเป๋าของบุรุษไปรษณีย์จะอยู่ข้างๆมอเตอร์ไซค์โดยมี 2 ข้าง ข้างหนึ่งใส่จดหมาย อีกข้างหนึ่งใส่พัสดุ กระเป๋าบุรุษไปรษณีย์มีสีแดงกับดำมีตราไปรษณีย์ไทยเป็นซองบิน สมัยก่อนบุรุษไปรษณีย์เดินไปส่งก็ใช้กระเป๋าสะพาย แต่ใส่จดหมายได้น้อย” ต่อมาเด็กๆยังให้ความสนใจเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของบุรุษไปรษณีย์ เด็กและครูจึงได้ร่วมกันหาข้อมูลจากในอินเตอร์เน็ต โดยมีสาวน้อยช่างพูดอย่าง น้องนายน์ ด.ญ. ภาภัทร เถาว์ชาลี ทำหน้าที่ในการเล่าให้เราฟังว่า “ไปรษณีย์เกิดในรัชกาลที่ 5 ไปรษณีย์ที่แรก เรียกว่า ไปรษณียาคาร ปัจจุบันเป็นไปรษณีย์ไทย สมัยก่อนหนุ่มไปรษณีย์แต่งชุดใส่โจงกระเบนกับเสื้อราชปะแตน และพายเรือไปส่งจดหมายในเรือก็มีตู้ไปรษณีย์ให้คนหย่อนจดหมายส่งได้ด้วย”
เมื่อเด็กๆได้รู้ประวัติความเป็นมาของบุรุษไปรษณีย์ หน้าที่ และขั้นตอนการทำงานของอาชีพนี้แล้ว เด็กๆยังได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับบุรุษไปรษณีย์ เครื่องแต่งกายของบุรุษไปรษณีย์ในประเทศอื่นๆรวมไปถึงอุปกรณ์ต่างๆของไปรษณีย์ เช่น ตู้ไปรษณีย์ รถที่ใช้ในการขนส่งไปรษณีย์ เป็นต้น ทำให้เด็กๆได้เรียนรู้ในเรื่องภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ของแต่ละประเทศไปด้วย และยังได้ฝึกการสังเกตเปรียบเทียบความเหมือนและต่างกันของบุรุษไปรษณีย์ด้วย โดยน้องแก๊ป ด.ช.ธีทัต ลิมปศิลป์ รับอาสาไปค้นคว้าหาข้อมูลบุรุษไปรษณีย์ของประเทศสหรัฐอเมริกา แล้วกลับมาเล่าให้เพื่อนฟังว่า“บุรุษไปรษณีย์ที่อเมริกาใส่ชุดสีฟ้า ใส่หมวกแก๊ป แล้วก็มีบุรุษไปรษณีย์ผู้หญิงด้วยครับ เขาใช้รถตู้เป็นยานพาหนะ และตู้ไปรษณีย์ประเทศเขาเป็นสีน้ำเงิน ส่วนของประเทศไทยเป็นสีแดง ” ทางด้าน น้องข้าวโพด ด.ญ. กุลริศา พ่วงไพโรจน์ ก็ไม่ขอน้อยหน้ารีบเล่าเสริมพร้อมกับใบหน้าสดใสว่า “หนูและเพื่อนๆได้ไปทัศนศึกษาที่พิพิธภัณฑ์ตราไปรษณียากร สามเสนใน เมื่อไปถึงพี่ๆวิทยากรก็ได้พาพวกหนูไปดูแสตมป์ดวงแรกของโลกที่เป็นรูปพระราชินีวิคตอเรียของประเทศอังกฤษ และพวกหนูยังได้ดูประวัติศาสตร์การเกิดไปรษณีย์ไทยรวมทั้งได้ชมเครื่องแบบการแต่งกายของบุรุษไปรษณีย์ไทยในสมัยโบราณจนถึงปัจจุบันจากหุ่นจำลอง ซึ่งหนูกับเพื่อนๆได้ความรู้จากนอกห้องเรียนเยอะแยะและสนุกมากเลยค่ะ”นอกจากนี้คุณครูยังได้ฝึกทักษะทางด้านภาษาและการอ่านเขียนให้กับเด็กๆอีกด้วย โดยให้เด็กๆร่วมกันอ่านคำ ฝึกเขียนคำต่างๆที่เกี่ยวกับบุรุษไปรษณีย์และร่วมกันหาคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เช่น บุรุษไปรษณีย์ (Postman) ที่ทำการไปรษณีย์ (Post Office) แสตมป์ (Stamp) และรหัสไปรษณีย์ (Postcode) เป็นต้น และครูยังสร้างเสริมจินตนาการให้กับเด็กๆโดยให้เด็กๆได้ออกแบบชุดบุรุษไปรษณีย์ด้วยการวาดและตัด ตกแต่งกันเอง รวมทั้งได้คิดทำกล่องใส่จดหมายโดยออกแบบลวดลายกันตามต้องการ ดูสิคะ..แค่ความอยากรู้เรื่องบุรุษไปรษณีย์แค่เรื่องเดียว เด็ก ๆ สามารถแตกยอดความคิดและความรู้ออกไปได้อย่างมากมายหลายทักษะอย่างน่าทึ่ง
และในสัปดาห์สุดท้ายของการเรียนรู้เด็กๆก็ยังคงสนใจและสืบค้นสำรวจอุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวกับบุรุษไปรษณีย์และไปรษณีย์กันต่ออีก โดยน้องข้าวโพดได้สรุปการค้นคว้าครั้งนี้ว่า “บุรุษไปรษณีย์ต้องมีใบสีชมพูติดไปด้วยค่ะ สำหรับจดหมาย EMS ที่ไปส่งที่บ้านแล้วไม่มีคนรับก็จะติดไว้ที่ตู้จดหมาย ซองจดหมายมีหลายขนาดมาก มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านหน้าใช้ใส่จดหมายติดกาว ด้านหลังให้เขียนชื่อผู้ส่งข้างบน ชื่อผู้รับข้างล่าง ซ้ายมือบนมีกรอบสี่เหลี่ยมใช้สำหรับติดแสตมป์ ด้านล่างมีช่องสำหรับเขียนรหัสไปรษณีย์ จดหมายที่หน้าซองมีสติ๊กเกอร์ติดว่าส่งแบบ EMS เรียกว่าไปรษณีย์ด่วนพิเศษนะคะ”
ตลอดระยะเวลากว่า 5 สัปดาห์ที่น้องๆ ชั้นอนุบาล 2/1 รร.อนุบาลกุ๊กไก่ ได้ศึกษาค้นคว้าในเรื่องบุรุษไปรษณีย์ นอกจากความสนุกสนานแล้วยังมีการสอดแทรกความรู้ ทักษะทางด้านต่างๆให้เด็กๆทั้งด้านภาษาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษตลอดจนทักษะทางด้านศิลปะ ส่งเสริมให้เด็กเกิดจินตนาการถือว่าเป็นการเรียนการสอนแบบบูรณาการที่ทำให้เด็กมีพัฒนาการทางด้านของการคิด วิเคราะห์ สังเคราะห์อย่างเป็นระบบตั้งแต่วัยอนุบาล เพื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ฉลาดช่างคิดนั่นเอง