บทความ "ประวัติศาสตร์ 12 ปีขาขึ้นทอง" โดย จีทีเวลธ์ แมเนจเมนท์

พฤหัส ๒๕ เมษายน ๒๐๑๓ ๑๔:๑๗
ประวัติศาสตร์ 12 ปีขาขึ้นทอง

สวัสดีครับ ช่วงที่ผ่านมาเราได้ยินเรื่องการจบรอบขาขึ้น 12 ปี ของราคาทองคำ มีการคาดการณ์กันว่าราคาจะเข้าสู่ช่วงขาลง และอาจจะซบเซากันไปพักใหญ่ ซึ่งในประเด็นหลังผมว่าเราคงต้องรอดูกันว่าจะพักตัวยาวนานเพียงใด แต่สิ่งที่เป็นเรื่องจริงคือราคาทองคำอยู่ในช่วงขาขึ้นมากว่า 12 ปี นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544) ซึ่งสมัยนั้นราคาทองคำอยู่ประมาณบาทละ5,000 กว่าบาท ขณะที่ราคาทองคำในตลาดโลกเคลื่อนไหวใกล้ 250-300 เหรียญต่อออนซ์ 12 ปีหลังจากนั้นราคาทองคำมีผลตอบแทนเป็นบวกติดต่อกันมากน้อยต่างกรรมต่างวาระ แต่เรียกได้ว่าถือไว้ยังไงก็ได้กำไร โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดในเดือนกันยายน ค.ศ. 2011 (พ.ศ. 2554) ที่ประมาณ 1,920 เหรียญต่อออนซ์ หรือประมาณ 28,850 (เทียบราคาขายออก) หรือเมื่อคำนวณเป็นผลตอบแทนในช่วง 12 ปี สูงถึงประมาณ 477% ตัวเลขดังกล่าวทำให้ตลาดทองคำคึกคักเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ทีเดียว ดังนั้นวันนี้ผมจึงขอย้อนอดีตเพื่อให้เราเข้าใจการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในช่วง 12 ปี โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ช่วงใหญ่ ๆ ดังนี้ครับ

ช่วงที่ 1 เติบโตตามเศรษฐกิจโลก ราคาทองคำในตลาดโลกทรงตัวในกรอบไม่สูงมากในช่วงปลายทศวรรษที่ 90 โดยเคลื่อนไหวในกรอบ 250-300 เหรียญสหรัฐฯ ต่อออนซ์โดยประมาณ แต่หลังจากวิกฤติดอทคอมในช่วงปี ค.ศ. 2001 ราคาทองคำก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นเหนือระดับ 300 เหรียญต่อออนซ์ โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลก หลังฟื้นตัวจากวิกฤติแต่ละประเทศมุ่งเน้นที่การเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นสำคัญ โดยตลอดช่วงปี ค.ศ. 2001-2008 อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกเฉลี่ย 8 ปีเมื่อวัดจาก GDP อยู่ราว ๆ 1.66% โดยเฉพาะในช่วงปี ค.ศ. 2004-2007 เติบโตสูงกว่าระดับ 2% ต่อเนื่อง ในตลอดช่วงการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกราคาสินทรัพย์ปรับตัวขึ้นตามลำดับตลาดการลงทุนเริ่มกลับมาคึกคัก ดัชนีตลาดหุ้นส่วนใหญ่ในโลกปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อก็ปรับตัวขึ้นตามการเติบโตทางเศรษฐกิจทำให้ทองคำซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งมีการปรับตัวขึ้นตามการเติบโตทางเศรษฐกิจ อีกนัยก็เติบโตไปพร้อมกับอัตราเงินเฟ้อ ในช่วงเวลาดังกล่าวมีการเติบโตของกองทุนอย่างต่อเนื่องทำให้การซื้อขายสินทรัพย์ในตลาดเป็นไปอย่างอู้ฟู่มีเม็ดเงินไหลเข้าออกจำนวนมาก ช่องทางการลงทุนถูกพัฒนาทำให้ยิ่งเอื้อต่อการลงทุนและเก็งกำไร อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือการลดลงของ FED Fund rate หรืออัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ ที่ลดลงตั้งแต่ในช่วงปี ค.ศ.2000 ทำให้ยิ่งเป็นการกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน โดยอัตราดอกเบี้ยลดลงจาก 6.5% สู่ระดับ 1% ในช่วงปี ค.ศ. 2004 การเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าวไม่เพียงแต่ราคาทองคำและตลาดหุ้นเท่านั้น ราคาอสังหาริมทรัพย์ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันจนท้ายสุดก็นำไปสู่ฟองสบู่ที่เราเห็นกันในช่วงปลายปี ค.ศ. 2008

ช่วงที่ 2 ตื่นตระหนกหลังวิกฤติ หลังวิกฤติ Subprime ในปี ค.ศ. 2008 ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯอ่อนค่าลงอย่างมากเทียบสกุลเงินหลักขณะที่ FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (FED Fund rate) ถูกลดลงอีกครั้งสู่ระดับต่ำสุด 0.25% นอกจากนี้เพื่อให้เศรษฐกิจมีการฟื้นตัว FED ออกนโยบายเพิ่มสภาพคล่องหรือมาตรการ QE1, 2 และล่าสุด 3-4 ทำให้ปริมาณเงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ในระบบเพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อวัดจาก M2 มีการปรับขึ้นสูงกว่า 10 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ขณะงบดุลของ FED สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์มากกว่า 3 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ จากนโยบายการเงินเช่นนี้ถือเป็นการกระตุ้นราคาทองคำอย่างมาก ประกอบกับการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงภาวะที่ตลาดอื่นซบเซา จะเห็นว่าหลังวิกฤติตลาดหุ้นสหรัฐฯ อ่อนตัวลงอย่างมากสวนทางกับราคาทองคำที่ปรับตัวสูงขึ้น ในช่วงปี ค.ศ. 2009 — 2012 เป็นช่วงที่ราคาปรับตัวขึ้นเร็วที่สุด จากช่วงต้นปี ค.ศ. 2008 ราคาเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 1,000 เหรียญ กลับขึ้นมาเคลื่อนไหวสูงกว่า 1,300 เหรียญ ในช่วงต้นปี ค.ศ. 2011และเพียงไม่กี่เดือนก็ขึ้นไปแตะระดับ 1,900 เหรียญ ถือเป็นการทำจุดสูงสุดตลอดกาล และหลังจากนั้นก็เริ่มอ่อนตัวลงตามลำดับ

จะเห็นว่าขาขึ้นของทองคำในช่วงกว่า 12 ปี นั้นมีแรงหนุนตามช่วงจังหวะของตลาด แต่ที่ผ่านมาไม่มีสินทรัพย์ประเภทใดที่จะอยู่ในขาขึ้นได้ตลอดไปจึงถือเป็นเรื่องธรรมดาครับที่ทองคำจะมีการอ่อนตัวลงบ้าง ดังนั้นนักลงทุนต้องทำความเข้าใจและปรับตัวให้เหมาะกับสถานการณ์

โดย กมลธัญ พรไพศาลวิจิต

ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด และ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ

GT Wealth Management

www.gtwm.co.th

TEL : 02-673-9911

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ