นายปกรณ์ พรรธนะแพทย์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ปัจจุบันธนาคารกสิกรไทยมีลูกค้ากลุ่มลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูง (Private Bank) ที่มีสินทรัพย์กับธนาคารกสิกรไทยตั้งแต่ 50 ล้านบาทขึ้นไปประมาณ 6,500 ราย คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดประมาณ 30% ของจำนวนลูกค้าทั้งหมดในประเทศไทยมีอยู่ประมาณ 21,000 ราย และมีสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) รวมประมาณ 5 แสนล้านบาท ซึ่งลูกค้าไพรเวทแบงค์มีแนวโน้มการขยายตัวต่อเนื่องตามการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัดที่เศรษฐกิจมีการเติบโตสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของประเทศ
ธนาคารกสิกรไทย จึงได้เร่งขยายการให้บริการไพรเวทแบงค์ไปยังต่างจังหวัดมากขึ้น เพื่อสอดคล้องกับทิศทางภาพรวมการดำเนินธุรกิจของธนาคารกสิกรไทยและการเพิ่มขึ้นของกลุ่มลูกค้าดังกล่าว ประกอบกับธนาคารมีความได้เปรียบเมื่อเทียบกับคู่แข่งขันรายอื่น ๆ โดยเฉพาะธนาคารต่างประเทศในไทยในแง่ของเครือข่ายการให้บริการที่มีอยู่ทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าขยายฐานลูกค้าต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น 20% พร้อมกับการพัฒนาศักยภาพทีมไพรเวทแบงค์ในระดับภูมิภาคให้แข็งแกร่ง ซึ่งธนาคารฯ ได้มีการเตรียมบุคลากรในกลุ่ม ที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisory Group) เพื่อเป็นกำลังสำคัญที่จะสนับสนุนงานของไพรเวทแบงค์และสามารถครอบคลุมการดูแลลูกค้าระดับภูมิภาคได้เมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)
นายปกรณ์ กล่าวว่า จากการศึกษาพบว่า ลูกค้ากลุ่มไพรเวทแบงค์มีความต้องการและความพร้อมในการลงทุนที่ซับซ้อนมากขึ้น จากเดิมที่จะเน้นการฝากเงินหรือผลิตภัณฑ์การลงทุนพื้นฐานเป็นหลัก ดังนั้นแนวทางการดำเนินงานของธนาคารกสิกรไทยในปีนี้ จึงมุ่งเน้นการให้บริการเชิงลึก สร้างมาตรฐานการให้บริการด้านการลงทุนระดับมาตรฐานสากลให้เข้มข้นมากขึ้น ผ่านการให้คำแนะนำระดับมืออาชีพ ด้วยแนวคิด Advisory Excellence เพื่อสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและเหนือกว่าผู้ให้บริการรายอื่น ประกอบด้วยการให้บริการ 3 ด้านหลัก ได้แก่
บริการด้านการธนาคารครบวงจร (Banking Service) ประกอบด้วย การทำธุรกิจด้านการเงิน การระดมทุนกู้ยืม การคุ้มครองและการให้ข้อมูลด้านการเงินต่าง ๆ บริการให้คำปรึกษาโดยทีมงานไพรเวทแบงค์เกอร์มืออาชีพ ที่ตอบโจทย์ทุกมิติการลงทุน (Private Investment) บริการเหนือระดับสำหรับลูกค้าคนพิเศษ (Privileges) ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ด้านด้วยเอกสิทธิ์พิเศษ
ทั้งนี้คาดว่าภายในสิ้นปี 2556 ธนาคารกสิกรไทยจะสามารถเพิ่มจำนวนลูกค้าไฟรเวทแบงค์ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดอีก 15% ซึ่งเป็น 2 เท่าของอัตราการเพิ่มจำนวนลูกค้ารายใหญ่ (High net worth) ของภูมิภาค และขยายฐานสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ของกลุ่มลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูงเพิ่มขึ้น 12% โดยเน้นการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 24% จากการให้คำแนะนำด้านการลงทุนในเชิงลึกในผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อน และยืนยันความเป็นผู้นำตลาดธุรกิจไพรเวทแบงค์ในประเทศไทย
ด้านนายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ ผู้บริหารกลุ่มธุรกิจไพรเวทแบงค์ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า บริการไพรเวทแบงค์ จะเน้นการตอบโจทย์ความต้องการทางการเงินของลูกค้าในเชิงลึกอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งธนาคารได้วางโครงสร้างความแข็งแกร่งของการให้บริการไพรเวทแบงค์ 4 ด้าน หรือ 3QC ได้แก่
คุณภาพการให้คำแนะนำที่ทันต่อสถานการณ์ (Quality of Advice) โดยมีทีมงานวิจัยหรือ KPB Research ซึ่งเป็นทีมที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ทำหน้าที่สนับสนุนข้อมูลให้กับไพรเวทแบงค์เกอร์
เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ (Quality of Products) มุ่งสู่การมีโครงสร้างการขายแบบเปิด (Open Architecture) โดยเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด ทั้งผลิตภัณฑ์จากกลุ่มธุรกิจธนาคารกสิกรไทย หรือจากที่อื่น ๆ ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็น Best-in-Class จากหน่วยงานที่ได้รับความน่าเชื่อถือ
บริการเหนือระดับที่จุดให้บริการของธนาคารทุกช่องทางทั่วประเทศ (Quality of Service) และพัฒนาบริการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิสก์ต่าง ๆ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการให้บริการ
จัดกิจกรรมต่างๆ ด้านการเงินและการลงทุน (Financial Concierge) ที่อยู่ในความสนใจของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ามีความรู้และมั่นใจในการบริหารจัดการด้านการเงินในแง่มุมต่างๆ จากเครือข่ายสาขาของธนาคาร บลจ.กสิกรไทย (KAssets) และ บล.กสิกรไทย (KSecurities) ซึ่งจะทำงานร่วมกันเป็นทีม ด้วยมาตรฐานที่ปรึกษาการลงทุนระดับเวิลด์คลาส เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านการเงินและการลงทุนของลูกค้า
นอกจากนี้ ลูกค้าไพรเวทแบงค์ ยังได้เอกสิทธิ์ในด้านการให้คำแนะนำด้านการลงทุน เช่น การจัดสรรเงินเพื่อรอบรับทุกเหตุการณ์ของชีวิต การจัดสรรเงินสำหรับการลงทุนระยะยาวเพื่อเป้าหมายการใช้ชีวิตในอนาคต และการจัดสรรเพื่อการเก็งกำไรระยะสั้นถึงปานกลาง