PwC คาดควบรวม “กลุ่มแบงก์” เอเชียแปซิฟิกปีนี้ฮอต แม้วิกฤตหนี้ยุโรปฉุดจำนวน-มูลค่าดีลทั่วโลก คาดสถาบันการเงินจากเอเชีย มีแนวโน้มเข้ามาทำธุรกิจในไทยมากขึ้น

พฤหัส ๑๖ พฤษภาคม ๒๐๑๓ ๑๔:๔๙
PwC ประเทศไทย (ไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส) คาดการณ์ถึงกระแสการควบรวมธุรกิจธนาคารในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกปีนี้ ว่าจะมีแนวโน้มการขยายตัวอย่างแข็งแกร่งสวนทางกับภาพรวมกิจกรรมการเทคโอเวอร์แบงก์ในยุโรป-สหรัฐที่ยังคงซบเซา พร้อมมองทุนยักษ์ใหญ่จากจีน ยังคงกว้านซื้อของดี-ราคาถูกจากยุโรปและทั่วโลก ขณะที่ผู้ประกอบการในอาเซียนจะมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)

นาย ศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร PwC ประเทศไทย เปิดเผยถึงบทวิเคราะห์ The Journal — Brave new world: New frontiers in banking M&A ว่า กระแสควบรวมกิจการธุรกิจธนาคารทั่วโลกจะยังคงมีทิศทางที่อ่อนแอในปีนี้ หลังความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกและวิกฤตหนี้ในแถบยูโรโซนทำให้มูลค่าและจำนวนดีลในอุตสาหกรรมลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

“ในทางตรงกันข้าม เอเชียแปซิฟิกจะเป็นภูมิภาคที่ขับเคลื่อนเทรนด์ M&A ให้เกิดความคึกคักมากที่สุด (Most active region for banking M&A) ในปีนี้โดยได้รับอานิสงส์จากการขยายตัวอย่างรวดเร็วทางเศรษฐกิจ ดีมานต์ที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์ทางการเงินการธนาคารของกลุ่มคนชั้นกลาง รวมทั้งฐานลูกค้า High-net-worth ที่เติบโต ในขณะเดียวกัน กลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทยจะยังคงสามารถรักษาการเติบโตของสินเชื่อ รวมทั้งได้รับผลกระทบทางลบในวงจำกัดจากวิกฤตการณ์ทางการเงินในยุโรป ด้วยฐานทุนที่แข็งแกร่ง และมีแนวโน้มที่กิจกรรมควบรวมจะยังรักษาโมเมนตัมขาขึ้นไว้ต่อไป” นาย ศิระ กล่าว

ผลจากรายงานของ PwC พบว่า กิจกรรมควบรวมในธุรกิจธนาคารพาณิชย์ทั่วโลกมีการปรับตัวลดลงเร็วกว่าการควบรวมของกลุ่มอุตสาหกรรมทุกประเภทโดยเฉลี่ย (All-sector M&A) ในปีที่ผ่านมา โดยมูลค่าดีลแบงก์ทั่วโลก (Total value of completed banking deals) ปรับตัวลดลงร้อยละ 37 ในช่วง 10 เดือนของปี 2555 เปรียบเทียบกับ การปรับตัวลดลงที่ร้อยละ 20 ของทุกกลุ่มอุตสาหกรรม

“ความกังวลวิกฤตเศรษฐกิจยุโรปจะยังคงมีผลกระทบต่อบรรยากาศการควบรวมของกลุ่มแบงก์ต่อไปในระยะข้างหน้า ความไม่แน่นอนทางการเมืองและระบบเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในยุโรปยังจะส่งผลต่อการทำดีลให้มีความซับซ้อนและยากต่อการคาดการณ์มากขึ้น ไม่ว่าเรื่องของการประเมินมูลค่า การจัดหาแหล่งเงินทุน การขออนุมัติจากผู้ถือหุ้น หรือแม้กระทั่งความมั่นใจของการทำดีลโดยทั่วๆไป พูดง่ายๆว่า รูปแบบของการควบรวมธุรกิจแบงก์ทั่วโลกจะเปลี่ยนไปในระยะยาว การทำดีลจะไม่ได้มองแค่ Valuations และราคาอีกต่อไป”

บทวิเคราะห์ยังระบุว่า การเปลี่ยนถ่ายขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจจากประเทศมหาอำนาจ อย่าง สหรัฐ และยุโรป มายังตลาดเกิดใหม่อย่างจีน และอินเดีย จะมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อแนวโน้มการควบรวมกลุ่มธนาคารโดยรวมในอนาคต โดย PwC คาดว่าใน ปี 2593 จีดีพีสะสมเฉลี่ยของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ 7 ประเทศ (E7) ประกอบด้วย จีน อินเดีย บราซิล รัสเซีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก และตุรกี จะอยู่ที่ 4.7% มากกว่าจีดีพีสะสมเฉลี่ยของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก 7 ประเทศ (G7) ที่ราว 2.1%

“ดีลภายในภูมิภาค [เอเชียแปซิฟิก] จะยังเป็นตัวที่ Drive ให้เกิดกิจกรรมการควบรวมระหว่างกัน ท่ามกลางภาวะการแข่งขันที่รุนแรง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกิจและฐานทุน สวนทางกับสัญญาณ Deal flow ที่อ่อนแอของอุตสาหกรรมทั่วโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยได้รับแรงกดดันมาจากความกังวลวิกฤตหนี้ในยุโรป ซึ่งเรามองว่าการเปลี่ยนแปลงนี้มันเป็นมากกว่า วัฎจักรขาลง หรือ Cyclical downturn ทั่วๆไปแต่เป็นเรื่องของการเปลี่ยนแปลงที่ตัวปัจจัยพื้นฐาน การเปลี่ยนถ่ายขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจจากตลาดที่ Mature แล้วมายังตลาดเกิดใหม่ โดยมีปัจจัยอื่นๆเป็นตัวเร่ง ได้แก่ การรวมตัวกันทางเศรษฐกิจของกลุ่มอุตสาหกรรมแบงก์ (Banking integration) การปฏิรูปกฏเกณฑ์ของภาครัฐ หรือแม้แต่การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางธุรกิจ (Strategic shifts)” นาย ศิระ กล่าว

2556: คาดเศรษฐีเอเชียแปซิฟิกกว้านซื้อกิจการแบงก์ต่อเนื่อง

หากมองกิจกรรมการควบรวมในระดับอาเซียน นายศิระ กล่าวว่า ปี 2555 ถือได้ว่าเป็นปีที่น่าจดจำอีกปีหนึ่งของภาคเอกชนในภูมิภาค รวมทั้งไทย โดยในปีที่ผ่านมาบรรดาฐานทุนฝั่งเอเชีย ได้มองหาโอกาสการซื้อกิจการในต่างประเทศ และประเทศเพื่อนบ้านด้วยกันมากขึ้น โดยอาศัยจังหวะจากความกังวลเศรษฐกิจโลกที่ฉุดให้ราคาสินทรัพย์มีความน่าสนใจ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยต่ำ ส่งผลให้อาเซียนมีกิจกรรมการควบรวมที่คึกคักไม้แพ้ยักษ์ใหญ่อย่างจีน และ ญี่ปุ่น โดย Sector ภาคการเงินการธนาคาร ไฟแนนซ์ หลักทรัพย์ ถือเป็นหนึ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกิจกรรมการควบรวมที่มีความร้อนแรง ไม่แพ้ภาคพลังงาน อุตสาหกรรมเกษตร และค้าปลีก

ในส่วนของประเทศไทยเอง ดีลควบรวมที่สร้างความคึกคักให้กับกลุ่มแบงก์ในปีที่ผ่านมา ได้แก่ ธ.กรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็น ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่อันดับ 5 ของไทย โดยกลุ่มจีอีได้แจ้งการขายหุ้นของธนาคารในสัดส่วนราว 7.6% เมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว โดยเป็นการขายผ่านตลาดหลักทรัพย์แบบเจาะจง นอกจากนี้ จีอีจะยังทบทวนทางเลือกสำหรับหุ้น BAY ที่ยังถืออยู่อีก 25% เนื่องจากบริษัทมีแผนขายธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักออกไป

“เรามองว่าในระยะต่อไป สถาบันการเงินในภูมิภาคเอเชียมีแนวโน้มจะเข้ามาทำธุรกิจในไทยมากขึ้นเช่นกัน หลังจากวิกฤติเศรษฐกิจในสหรัฐ และยุโรป ทำให้สถาบันการเงินจากฝั่งตะวันตก อาจต้องลดการทำธุรกิจในต่างประเทศลง แบงก์สหรัฐ แบงก์ยุโรป ที่เจ็บตัวจากวิกฤติปี 2008 เขาประสบความเสียหาย ต้องเพิ่มทุน และยังถูกบังคับด้วยเกณฑ์ใหม่ๆ ซึ่งต้องปรับตัว และอาจต้องลดธุรกิจของเขาในต่างประเทศ ซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาสให้กับสถาบันการเงินในเอเชียแปซิฟิก อย่าง ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และ มาเลเซีย ให้ขยายการลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น”

“ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นธุรกิจไทยขนาดใหญ่หลายรายตื่นตัวในเรื่องของการลงทุน ขยายกิจการไปในภูมิภาค โดยในระยะหลังก็เริ่มเห็นสัญญาณจากทางผู้ประกอบการ SMEs ตามมาด้วยเช่นกัน ในส่วนของแบงก์พาณิชย์เอง แบงก์ใหญ่ๆหลายรายที่มีสาขาอยู่ต่างประเทศอยู่แล้ว ก็เริ่มมีการขยายการลงทุน เปิดสาขาต่างประเทศมากขึ้น หรือบางรายที่ Support ลูกค้าภายในประเทศก็เริ่มมองหาโอกาสในการลงทุนออกไปนอกบ้านมากขึ้น” นายศิระ กล่าว

“ในส่วนแบงก์ขนาดกลางและขนาดย่อม ผมมองว่า Priority หลักอาจจะยังอยู่ที่การพยายามสร้างความเข้มแข็งของธุรกิจภายในประเทศ เพื่อต่อสู้กับการแข่งขันที่รุนแรง โดยในปีที่ผ่านมา เราจะได้ว่ามีการควบรวมหรือปรับโครงสร้างองค์กรต่างๆเกิดขึ้นหลายดีล ฉะนั้น Step ต่อไปที่เรามอง คือ แบงก์เหล่านี้น่าจะเริ่มมองหาและขยับขยายกิจการไปในตลาดประเทศใกล้เคียง เพื่อเตรียมความพร้อมและหาประโยชน์จากการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปลายปี 2558 กันมากขึ้น” เขา กล่าว

นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงกฏกติกาหรือข้อบังคับต่างๆจากหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการเงินทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ (Regulatory reform) ก็มีส่วนผลักดันให้แบงก์ต่างๆต้องมีการปรับโครงสร้าง ซึ่งอาจนำไปสู่การเพิ่มฐานทุน หรือแม้กระทั่งการ Consolidate กันมากขึ้นอีกทางหนึ่ง นายศิระ กล่าวเสริม

เมื่อวันที่ 1 มกราคม ที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ในหลายๆ ประเทศในโลก รวมทั้งไทยเริ่มใช้เกณฑ์การคำนวณและดำรงเงินกองทุนที่ปรับปรุงใหม่ ที่เรียกว่า Basel III ซึ่งสำหรับในไทยนั้น ธปท.ได้บังคับใช้เกณฑ์ Basel III เพื่อส่งเสริมให้สถาบันการเงินสามารถต้านทานภาวะวิกฤตในระบบการเงินและระบบเศรษฐกิจได้ดีขึ้น พร้อมทั้งลดการส่งต่อความเสี่ยงจากระบบการเงินไปยังภาคเศรษฐกิจจริง

“สำหรับประเทศไทย การนำเกณฑ์ Basel III มาบังคับใช้ ในด้านหนึ่งอาจจะเป็นการเพิ่มต้นทุนในการดำเนินงานของธนาคารพาณิชย์ในระยะสั้น โดยเฉพาะจากข้อปฏิบัติที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งดูเหมือนเป็นความท้าทาย แต่ในอีกมุมหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในระดับธนาคารพาณิชย์และภาพรวมของระบบสถาบันการเงิน น่าจะช่วยจำกัดความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจในระยะยาว” นายศิระ กล่าว

ในท้ายที่สุด หากมองทิศทางการควบรวมธุรกิจแบงก์ในระดับโลก บทวิเคราะห์ระบุว่า ประเทศมหาอำนาจอย่าง สหรัฐ เห็นสัญญาณการปรับตัวที่ดีขึ้น แต่บรรดาสถาบันการเงินยังคงต้องเผชิญกับปัญหาการปรับโครงสร้าง (Restructuring) ต่อไป แบงก์สหรัฐที่มีสถานะทางการเงินที่ดีกว่า จะมองหาโอกาสในการขยายกิจการออกไปในต่างประเทศมากขึ้น โดยเอเชียแปซิฟิก และ ละตินอเมริกาจะเป็นแหล่งดึงดูดการเทคโอเวอร์ (Outbound M&A) ที่สำคัญ โดยมีการเพิ่มขึ้นของผู้บริโภคและชนชั้นกลาง และการขยายตัวอย่างรวดเร็วของภาคเอกชนที่ทำให้ดีมานต์ของบริการต่างๆมีมากขึ้นเป็นปัจจัยสนับสนุน

ในส่วนของประเทศในแถบยุโรป พิษเศรฐกิจจะยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการควบรวมกิจการของกลุ่มแบงก์ใน 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากผู้ประกอบการจะมุ่งเน้นไปที่การประกอบกิจการในธุรกิจหลัก (Core businesses) มากกว่าธุรกิจรอง ในขณะเดียวกัน ฐานทุนที่แข็งแกร่งจากจีนจะแสดงความสนใจในการเข้าไปลงทุน ซื้อสินทรัพย์ด้อยราคา (Distressed assets) ที่เป็นเป้าหมายของการขายสินทรัพย์หรือเทคโอเวอร์ เพื่อใช้ในการขยายธุรกิจหรือสร้างตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche presence) ของตนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นาย ศิระ กล่าวสรุป

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๑ เม.ย. สุขสนุกกับเทศกาลอีสเตอร์ด้วย Boozy Bunnies Brunch ที่ The Standard Grill
๑๑ เม.ย. Mrs. GREEN APPLE วงป็อปร็อกญี่ปุ่นชื่อดัง ส่งเพลงใหม่ KUSUSHIKI ฉลองครบรอบ 10 ปีอย่างยิ่งใหญ่เต็มรูปแบบ
๑๑ เม.ย. แลคตาซอย ส่งมอบนมถั่วเหลืองกว่า 70,000 กล่อง เสริมพลังกาย สร้างกำลังใจให้คนทุ่มเท ในการเดินทางช่วงสงกรานต์ 68
๑๑ เม.ย. สถาปนิก'68 เตรียมเปิดเวที ASA International Forum 2025 เชิญกูรูต่างประเทศร่วมแลกเปลี่ยนความรู้และสร้างแรงบันดาลใจ
๑๑ เม.ย. มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ทุ่มงบกว่า 1 ล้านบาท ลงพื้นที่ สร้างสุข ใส่ใจ ผู้สูงวัย ในสถานสงเคราะห์ พร้อมแจกจ่าย ชุดของขวัญคลายร้อน
๑๑ เม.ย. คปภ. ทำงานร่วมกับ กทม. ลงพื้นที่ประสานงานกรณีตึกถล่มจากเหตุแผ่นดินไหว เร่งตรวจสอบสิทธิประโยชน์ด้านประกันภัยเพื่อดูแลผู้ประสบภัยอย่างเร่งด่วน
๑๑ เม.ย. โบว์-วิน สาดออร่าคู่! เนรมิตสงกรานต์ไอคอนสยามสุดอลังการ ในลุคนางสงกรานต์-เทพบุตรสุดปัง! พิธีเปิดงาน ICONSIAM THAICONIC SONGKRAN CELEBRATION 2025
๑๑ เม.ย. รายการ หนูทดลอง Little Explorers EP ล่าสุด ชาบูโชว์ฝีมือการเป็นเชฟทำอาหาร และพาไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์สำหรับเด็ก
๑๑ เม.ย. ย้อนความเป็นมาวันสงกรานต์ พร้อมมีช่วงเวลาดี ๆ ไปกับวันเดอร์พัฟฟ์
๑๑ เม.ย. มหาสงกรานต์ ไอคอนสยาม เริ่มแล้ว!!! สัมผัสประสบการณ์สาดความสุข สนุกสไตล์ไทย ICONSIAM THAICONIC SONGKRAN CELEBRATION