รุ่งโรจน์ เมธีดุลย์สถิตย์
ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ Business Critical Systems (BCS)
บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) จำกัด
ไม่มีธุรกิจประเภทใดในปัจจุบันที่ไม่มีการนำระบบไอทีมาใช้ในกระบวนการทำงานด้านต่างๆ ซึ่งเทรนด์การใช้ระบบไอทีนี้จะขยายตัวอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้นในอนาคต การพึ่งพาระบบไอทีระดับองค์กรที่เพิ่มขึ้นทั้งทางด้านการใช้แอพพลิเคชั่น ข้อมูล และระบบวิเคราะห์เพื่อขับเคลื่อนการสร้างมูลค่าที่แท้จริงให้แก่ธุรกิจต่างๆ ผนวกกับการใช้ระบบคลาวด์และเทคโนโลยีโมบายล์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วเป็นการปูทางสู่ยุคทองของระบบคอมพิวติ้งเพื่อธุรกิจ แต่หากระบบไอทีเกิดล่มขึ้นมา จะมีอะไรเกิดขึ้น? การมีโซลูชั่นเพื่อนำมาใช้ทดแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโซลูชั่นที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อสนับสนุนให้ระบบที่มีความสำคัญต่างๆ สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง พอร์ทโฟลิโอผลิตภัณฑ์ HP ServiceGuard คือหนึ่งในโซลูชั่นดังกล่าวที่มีสมรรถนะขับเคลื่อนให้ระบบต่างๆ สามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ และสามารถกู้คืนระบบที่ได้รับความเสียหายได้อย่างรวดเร็ว
เราลองนึกภาพดูว่า หากระบบฐานข้อมูลหลักหรือบริการต่างๆ ไม่สามารถทำงานได้นานหลายชั่วโมงหรือหลายวัน ธุรกิจของเราจะมีสภาพเป็นอย่างไร ในปี 2555 เกิดโศกนาฏกรรมขึ้นกับบริษัทหลากหลายแห่ง ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าวส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นตามมา โดยการหยุดทำงานของระบบไอทีก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 181,770 เหรียญสหรัฐต่อชั่วโมงที่มีการหยุดทำงาน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายจำนวน 110,000 เหรียญสหรัฐในปี 2553 นอกจากนี้ การหยุดทำงานที่เกิดขึ้นในปี 2555 โดยเฉลี่ยจะยุติลงภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง และต้องใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมงในการกู้คืนระบบให้กลับมาทำงานได้เพียงร้อยละ 90(1)
เมื่อเดือนพฤษภาคม 2554 นิตยสาร Channel Insider รายงานว่า ค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยของการหยุดทำงานของศูนย์ข้อมูลมีมูลค่า 5,000 เหรียญสหรัฐต่อนาที(2) ขณะที่นิตยสาร Business Computing World ฉบับเดือนเมษายน 2553 ได้อ้างถึงรายงานของ Dun & Bradstreet ที่ระบุว่า มีบริษัทในฟอร์จูน 500 ร้อยละ 59 ประสบปัญหาระบบคอมพิวเตอร์หยุดทำงานไม่ต่ำกว่า 1.6 ชั่วโมงต่อสัปดาห์การหยุดทำงานของระบบไอทีก่อให้เกิดความสูญเสียทางธุรกิจคิดเป็นมูลค่าโดยเฉลี่ย 84,000 — 108,000 เหรียญสหรัฐต่อชั่วโมง(3)
นอกจากนี้ รายงานทั้งสองฉบับดังกล่าวยังระบุว่า การหยุดทำงานของระบบไอทีส่งผลกระทบทางการเงินด้วย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเพียงเท่านี้ สำหรับองค์กรที่พึ่งพาระบบไอทีเพื่อเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อกับลูกค้าและ/หรือพันธมิตร ยังสามารถบั่นทอนความไว้เนื้อเชื่อใจของลูกค้าและสร้างความเสียหายให้แก่ชื่อเสียงขององค์กร ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นจะส่งผลเชิงลบต่อองค์กรนั้นๆ ในระยะยาว ‘ความเสี่ยงต่อชื่อเสียงขององค์กรที่เกิดจากการหยุดทำงานของระบบไอที’ มีความสำคัญต่อองค์กรที่ใช้ระบบไอทีในการติดต่อเชื่อมโยงกับลูกค้าจำนวนมากซึ่งได้แก่ ธนาคาร ผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนาคม ผู้ค้าปลีกบนระบบออนไลน์สายการบิน และหน่วยราชการต่างๆ
ข้อมูลจากรายงานดังกล่าวทำให้เกิดคำถามสำคัญที่ว่า “การหยุดทำงานของระบบไอทีเป็นส่วนหนึ่งของการทำธุรกิจใช่หรือไม่?” หากพิจารณาจากแอพพลิเคชั่นที่มีความสำคัญระดับ mission-critical ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดความอยู่รอดของธุรกิจนั้นๆ คำตอบก็คือ “ไม่ใช่”
ความเสี่ยงจากการหยุดทำงานของระบบไอที ทั้งทางด้านความเสี่ยงทางการเงินและความเสี่ยงทางด้านชื่อเสียงขององค์กรยังสร้างความวิตกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากธุรกิจต่างๆ นำระบบ x86 มาใช้ในการทำงานที่มีความสำคัญระดับ mission-critical เพิ่มมากขึ้น โดยไม่มีโซลูชั่นสำรองที่มีความพร้อมในการใช้งานอย่างพอเพียงเพื่อรองรับระบบที่เกิดปัญหา นอกจากนี้ มีองค์กรอยู่จำนวนหนึ่งที่ไม่มีโซลูชั่นกู้คืนระบบและโซลูชั่นที่สนับสนุนความพร้อมในการให้บริการสำหรับนำมาใช้กับระบบไอทีของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับองค์กรที่ใช้ระบบที่ทำงานในสภาพแวดล้อมแบบลีนุกซ์ ปัญหาดังกล่าวจะขยายตัวมากขึ้นและความเสี่ยงจะเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เคยมีมา ดังนั้น การมีโซลูชั่นที่พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับสภาพแวดล้อมในการทำงานพิเศษเหล่านี้จึงมีความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่ง
ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสารสนเทศหรือซีไอโอและผู้บริหารระดับสูงควรจัดทำนโยบายส่งเสริมการหยุดทำงานของระบบไอทีให้เป็นศูนย์ และสนับสนุนให้มีการใช้โซลูชั่นเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของระบบไอทีและให้มีสมรรถนะในการกู้คืนระบบได้มากขึ้น โดยการใช้โซลูชั่นดังกล่าวถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
พอร์ทโฟลิโอ HP ServiceGuard คือ หนึ่งในโซลูชั่นดังกล่าวที่ได้รับการออกแบบให้มีสมรรถนะในการควบคุมระบบที่มีความสำคัญระดับ mission-critical อย่างเช่น แอพพลิเคชั่น SAP รวมถึงแอพพลิเคชั่นที่ทำงานในสภาพแวดล้อมแบบลีนุกซ์ให้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ โซลูชั่น HP ServiceGuard ที่รองรับสถาปัตยกรรมลีนุกซ์จะมีคุณสมบัติอันโดดเด่น ได้แก่ ความสามารถในการฟื้นตัวและกลับสู่สภาพเดิม การตั้งค่าระบบได้อีกครั้ง และการกู้คืนระบบที่หยุดทำงานได้ทันที เป็นต้น
องค์กรต่างๆ ได้นำระบบโครงสร้างพื้นฐาน x86 และลีนุกซ์มาใช้ในการทำงานระดับสำคัญๆ เพิ่มมากขึ้น แต่ความเสถียรของระบบที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่พอเพียงสำหรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูงขึ้นในอนาคต ซึ่งเวลาที่ใช้ในการประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการอยู่รอดขององค์กรจากการที่ระบบไอทีมีโอกาสที่จะหยุดทำงานได้ในทุกสภาพแวดล้อม ดังนั้น
การสนับสนุนให้ระบบไอทีทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดเพื่อขจัดความวิตกกังวลของลูกค้าและพันธมิตรจึงเป็นเป้าหมายสำคัญที่องค์กรต่างๆควรดำเนินการให้บรรลุผล การลงทุนพัฒนาโซลูชั่นที่มีความพร้อมในการทำงานบนระบบโครงสร้างพื้นฐานไอทีของแต่ละองค์กรได้อย่างเหมาะสมจะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่องค์กรนั้นๆ ในระยะยาวทั้งทางด้านการขจัดความเสี่ยง การมีสถานะการเงินที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และการสร้างชื่อเสียงที่ดีงามให้แก่องค์กร
(1) Datacenter Downtime: How Much Does It Really Cost?, Aberdeen Group, March 2012
(2) Unplanned IT Outages Cost More than $5,000 per Minute: Report, Channel Insider, May 16, 2011
(3) Assessing The Financial Impact Of Down Time, Business Computing World, April 20, 2010