การสำรวจดังกล่าวเป็นการสำรวจประจำไตรมาสเพื่อสำรวจความรู้สึกของผู้ซื้อ/ นักลงทุนที่มีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเริ่มสำรวจครั้งแรกเมื่อปี 2554 โดยในปีนี้ DDproperty.com ได้ร่วมกับ แอ๊ดเด็ด แวลู่ แซฟฟรอน-ฮิลล์ บริษัทวิจัยตลาดอิสระชั้นแนวหน้าจากประเทศสิงคโปร์ในการดำเนินแบบสอบถามใน 4 ตลาดหลักของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ประเทศไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย
สำหรับผลการสำรวจในไตรมาส 1/2556 นั้นได้จากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคนไทยอายุระหว่าง 21-69 ปีจำนวน 1,503 รายผ่านการทำแบบสอบถามออนไลน์ถึงแนวโน้มในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในช่วงเวลานั้นๆ
จากผลการสำรวจพบว่า 47% ของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกพอใจกับสถานการณ์ของตลาดอสังหาฯ ไทยในปัจจุบัน ในขณะที่ 4 ใน 5 ของผู้ตอบแบบสอบถามคาดว่าราคาของอสังหาฯ น่าจะปรับตัวสูงขึ้นในอีก 6 เดือนข้างหน้า
นอกจากนี้ 54% ของผู้ตอบแบบสอบถามในครั้งนี้มองว่ารัฐบาลยังให้การสนับสนุนไม่เพียงพอในการที่จะช่วยให้ประชาชนเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ได้ง่ายขึ้น โดย 52% รู้สึกผิดหวังกับนโยบายบ้านหลังแรก และ 63% รู้สึกว่ารัฐควรออกกฎหมายที่เข้มงวดสำหรับชาวต่างชาติที่จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทยให้มากยิ่งขึ้น .
สำหรับแนวโน้มของตลาดโดยรวมในช่วงไตรมาส 1/ 2556 พบว่ายังคงมีดีมานด์ในการซื้ออสังหาฯ ภายในประเทศยังคงมีอยู่ในระดับที่สูง โดยเฉพาะอสังหาฯ ประเภทที่ดินและคอนโดมิเนียมที่ผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่ามีความสนใจที่จะซื้อในช่วง 6 เดือนข้างหน้ามากถึง 47% และ 42% ตามลำดับ
สำหรับดีมานด์ในการซื้ออสังหาฯ ในต่างประเทศนั้น พบว่า 1 ใน 3 ของผู้ตอบแบบสอบถามมีความสนใจที่จะซื้ออสังหาฯ ในต่างประเทศ โดยทำเลยอดนิยมตกเป็นของลาวและออสเตรเลีย
จากผลสำรวจดังกล่าวสามารถสรุปได้ว่า ผู้ซื้อส่วนใหญ่มองว่าราคาอสังหาฯ ในเมืองไทยนั้นมีแนวโน้มที่จะขยับตัวสูงขึ้น โดยมีปัจจัยเสริม คือดีมานด์จากผู้ซื้อชาวต่างชาติ ในขณะที่ผู้ซื้อชาวไทยส่วนใหญ่คาดหวังที่จะให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือให้สามารถเป็นเจ้าของอสังหาฯ ได้ง่ายขึ้น โดยที่นโยบายบ้านหลังแรกที่ผ่านมาถือว่าไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร
นายเรย์มอนด์ อิ้ง กรรมการผู้จัดการ แอ๊ดเด็ด แวลู สิงคโปร์ กล่าวว่า “หนึ่งในข้อสังเกตที่น่าสนใจจากผลการสำรวจในครั้งนี้พบว่า คนไทยมีความสนใจที่จะซื้ออสังหาฯ ในประเทศลาวและออสเตรเลีย ซึ่งรัฐบาลน่าจะหาวิธีในการโน้มน้าวให้ความสนใจจากผู้ซื้อในกลุ่มนี้กลับมาลงทุนภายในประเทศแทน และเลือกที่จะลงทุนในต่างประเทศกับโครงการที่น่าสนใจเท่านั้น ซึ่งความท้าทายดังกล่าวเป็นเรื่องที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างมาเลเซียกำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน การหาความสมดุลระหว่างการลงทุนภายในประเทศและต่างประเทศนั้นเป็นเรื่องท้าทายที่จะต้องหาทางออกที่ลงตัวและสมบูรณ์แบบที่สุด โดยจะต้องให้ความสำคัญกับการลงทุนภายในประเทศก่อนเป็นอันดับแรกเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืนต่อไป”
ในขณะที่นายสตีฟ เมลฮูอิช ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานกรรมการบริหารพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป กล่าวว่า ผลสำรวจความรู้สึกของผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ประจำไตรมาสที่ 1/2556 ของกลุ่มบริษัทพร็อพเพอร์ตี้กูรูนี้ถือเป็นเครื่องสะท้อนให้เห็นความเป็นไปในปัจจุบันของตลาดและแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ได้เป็นอย่างดี