- รุ่นใหม่เครื่องยนต์ทรงพลัง ประหยัดน้ำมัน เพิ่มระดับความปลอดภัย รักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างผลกำไรเพิ่มแก่ผู้ประกอบการ
- เชื่อมั่นประเทศเข้าสู่ AEC จะทำให้ความต้องการด้านการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น
บริษัท วอลโว่ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายรถ บรรทุกหนัก และรถโดยสารขนาดใหญ่ภายใต้ชื่อวอลโว่ในประเทศไทย เปิดตัวแชสซีบัสรุ่นใหม่ B11R ซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด D11A มาตรฐานยูโร 3 เหมาะกับผู้ประกอบการที่ต้องการรักษาความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งจะทวีความรุนแรงขึ้นภายหลังการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในปี 2558
มร. ฌาคส์ มิเชล ประธานกรรมการ บริษัท วอลโว่ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าแชสซี 6X2 รุ่นใหม่นี้ ถือเป็นนวัตกรรมล่าสุดที่ วอลโว่ กรุ๊ป นำเสนอต่อผู้บริโภคในประเทศไทย ซึ่งสิ่งที่ผู้บริโภคจะสัมผัสได้คือความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นของระบบช่วงล่างที่เน้นความนุ่มและการเกาะถนน ในขณะที่ผู้ประกอบการจะได้รับประโยชน์จากความประหยัดเชื้อเพลิงของเครื่องยนต์รุ่นใหม่ที่ทำงานควบคู่กับระบบเกียร์อัจฉริยะ I Shift 12 speed ทำให้พนักงานขับรถสามารถขับขี่ได้ง่ายขึ้นและไม่เหนื่อยจากการขับขี่ในระบบเครื่องยนต์และเกียร์รุ่นเก่า
ทั้งนี้ วอลโว่ กรุ๊ป (ประเทศไทย) ได้แต่งตั้งให้บริษัท เชิดชัย จำกัด เป็นผู้แทนจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งบริษัท เชิดชัย จำกัด ยังเป็นผู้ให้บริการประกอบตัวถังบนแชสซีวอลโว่รุ่นใหม่นี้เช่นกัน
“เรามีความเชื่อมั่นอย่างมากว่าแชสซีรุ่นใหม่นี้จะได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการเพราะเป็นแชสซีรุ่นใหม่ ระบบช่วงล่างที่เกาะถนนดีเยี่ยมและให้ความรู้สึกนุ่มแก่ผู้โดยสาร ส่วนเครื่องยนต์รุ่นใหม่นี้ จะทำให้ผู้ประกอบการสามารถประหยัดการใช้เชื้อเพลิงได้ดีขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเครื่องยนต์รุ่นเก่า เนื่องจากเครื่องยนต์ที่มีความจุกระบอกสูบเล็กลงแต่ให้แรงม้าที่สูงขึ้น ทำให้เครื่องยนต์ B11 ประหยัดน้ำมันมากขึ้นกว่าเดิม” มร. มิเชล กล่าว
เครื่องยนต์ D11A เป็นเครื่องยนต์ขนาด 11 ลิตร 430 แรงม้า ประหยัดพลังงานและทนทาน รักษาสิ่งแวดล้อมด้วยมาตรฐานการปล่อยไอเสียยูโร 3 ตามมาตรฐานวอลโว่ บำรุงรักษาง่าย เพิ่มอายุการบำรุงรักษาที่ยาวนานขึ้นกว่าเดิม
มร. มิเชล กล่าวว่าปัจจุบันยอดขายแชสซีรถบัสของวอลโว่เฉลี่ยปีละ 200 คัน และภายหลังการเปิดตัวแชสซีรุ่นใหม่ในประเทศไทย จะทำให้ตลาดมีความตื่นตัวมากขึ้น โดยกลุ่มเป้าหมายของแชสซีวอลโว่นั้น เป็นผู้ให้บริการรถโดยสารมาตรฐานสูง โดยเฉพาะด้านความปลอดภัย
มร. มิเชล กล่าวเพิ่มเติมว่าขนาดตลาดรถบัสในประเทศไทย ปีละประมาณ 700 คัน โดยเป็นรถบัสจากค่ายยุโรปประมาณ 30 % ซึ่งวอลโว่มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 40 % ในกลุ่มค่ายรถยุโรป
การเปิดตัวแชสซีรุ่นใหม่ครั้งนี้ มร.มิเชล กล่าวว่าเป็นจังหวะที่ดีในการเปิดตัวครั้งนี้เพราะเนื่องจากธุรกิจท่องเที่ยวของไทยกำลังเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากทางด้านยุโรป ที่ต้องการรถโค้ชที่นั่งสบายและมีระบบความปลอดภัยสูงสุด ประกอบกับการเปิดประชาคมประชาชาติเศรษฐกิจอาเซียนปี 2558
“เมื่อถึงเวลานั้น (2558) ระบบการขนส่งรวมไปถึงการท่องเที่ยวจะไม่มีพรหมแดนอีกต่อไปแล้ว ซึ่งจะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการในการเพิ่มศักยภาพให้กับตัวเองด้วยการยกระดับการให้บริการเพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่น โดยเฉพาะผู้ประกอบการจากต่างประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าลูกค้ามีสิทธิ์ที่จะเลือกใช้บริการรถบัสที่ใหม่และมีคุณภาพดีกว่าโดยเฉพาะด้านความปลอดภัย” มร. มิเชล กล่าว
มร.มิเชล กล่าวถึงความพร้อมในการให้บริการรถบัสวอลโว่ภายหลังการเปิดประเทศเข้าสู่ AEC ว่า วอลโว่ กรุ๊ป มีความพร้อมในการให้บริการรถบรรทุก รถหัวลากและรถบัส ของวอลโว่ โดยวอลโว่ กรุ๊ป ได้ทุ่มงบประมาณ กว่า 3 พันล้านบาทในการขยายเครือข่ายการจัดจำหน่ายและการให้บริการหลังการขาย 15 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งรถบรรทุก รถหัวลากและรถบัส วอลโว่ จากประเทศต่าง ๆ สามารถเข้าใช้บริการศูนย์บริการของวอลโว่ทั่วประเทศได้
ทางด้าน มร. เดวิด มีด (David Mead) ตำแหน่ง ผู้อำนวยการ วอลโว่ บัส เอเซียแปซิฟิก กล่าวเพิ่มเติมว่าวอลโว่กรุ๊ปเป็นผู้ให้บริการระบบขนส่งครบวงจรมากกว่า 140 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ วอลโว่กรุ๊ป ยังมีประสบการณ์การผลิตรถบัสและรถโค้ชมานานกว่า 80 ปี ซึ่งเป็นประสบการณ์ทางด้านการให้บริการ การผลิตและการออกแบบ
สำหรับแชสซีส์บัสรุ่น B11R นั้น เป็นรุ่นที่ได้พัฒนาใหม่ล่าสุดที่ประหยัดน้ำมัน รักษาสิ่งแวดล้อม ทนทาน อายุการใช้งานที่ยาวนาน ด้วยกำลังแรงม้าอันทรงพลังที่ทำให้ผู้โดยสารมั่นใจถึงความปลอดภัยและความสะดวกสบายในระหว่างการเดินทาง
“ด้วยสมรรถนะเป็นที่ยอมรับในมาตรฐานของวอลโว่ ทำให้เราไม่เป็นสองรองใครในตลาดรถบัสสำหรับการเดินทางและการท่องเที่ยว” มร. มีดกล่าว
มร.มีด กล่าวเพิ่มเติมว่าปัจจุบันวอลโว่ กรุ๊ป ประเทศไทย มีศูนย์บริการของบริษัททั่วประเทศ 9 แห่ง ที่จะให้บริการแก่ลูกค้าทั่วประเทศ และภายในปีนี้จะมีการเพิ่มศูนย์บริการอีก 6 แห่งในจังหวัดชลบุรี อยุธยา ลำปาง นครปฐม สายใต้ใหม่และสุพรรณบุรี