นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดีเฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เจ้าของและผู้บริหารสิทธิ์แฟรนไชส์ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ และเอคิวโฮม เปิดเผยว่า 5 เดือนแรกปี 2556 นี้ บริษัทฯ มียอดขายบ้านเติบโตเพิ่มขึ้น ทั้งมูลค่าและจำนวนหน่วยกว่าร้อยละ 50 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ทั้งนี้เป็นผลมาจากการขยายสาขาใหม่ๆ ของบริษัทฯ ออกไปทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยการขยายสาขาในช่วงที่ผ่านมานั้น มีทั้งประเภทลงทุนเองและขยายด้วยรูปแบบแฟรนไชส์รับสร้างบ้าน ปัจจุบันมีสาขาเปิดให้บริการแล้ว 34 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการมากกว่า 63 จังหวัด
ในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา (มค.-พค.) บริษัทฯ สามารถทำยอดขายบ้านรวมทุกสาขาได้เกือบ 500 ล้านบาท ปัจจุบันมีปริมาณบ้านที่อยู่ระหว่างก่อสร้างจำนวนกว่า 200 หน่วย จากสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลให้บริษัทฯ ต้องหันมาเร่งปรับการบริหารจัดการภายในองค์กร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถและรองรับปริมาณงานสร้างบ้านที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งปรับแนวทางการบริหารสาขาแฟรนไชส์รายเดิมและรายใหม่ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ผ่านระบบการตรวจสอบและประเมินมาตรฐานคุณภาพ ตามสัญญาที่บริษัทฯ กำหนดไว้ หวังจะรักษามาตรฐานคุณภาพการสร้างบ้านของทุกสาขาให้สม่ำเสมอกัน และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์พีดีเฮ้าส์
ทั้งนี้ หากว่าแฟรนไชส์รายใดไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานก็จะต้องเข้าสู่กระบวนการปรับปรุง แต่ถ้าไม่พร้อมหรือไม่สามารถปรับปรุงให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน บริษัทฯ ก็จะขอซื้อสิทธิ์คืนเพื่อนำกลับมาบริหารเอง หรือโอนสิทธิ์ให้รายอื่นดำเนินการแทน หรือกรณีแฟรนไชส์ซีรายใดผิดสัญญาร้ายแรง เช่น หลบเลี่ยงภาษี ทำธุรกิจแข่งขัน ฯลฯ บริษัทฯ จะใช้สิทธิ์บอกเลิกสัญญาและดำเนินคดีต่อไป
“เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทฯ ได้ทำการเปิดศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ สาขาหาดใหญ่แห่งใหม่ขึ้น บริหารงานโดย บจก.หาดใหญ่สร้างบ้าน เพื่อให้บริการผู้บริโภคในพื้นที่จังหวัดสงขลาและจังหวัดใกล้เคียง ทดแทนกับสาขาหาดใหญ่เดิมที่ถูกยกเลิกสัญญาไปก่อนหน้านี้ สำหรับ บจก.หาดใหญ่สร้างบ้าน นั้นเป็นการลงทุนโดย ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป และมีนักธุรกิจท้องถิ่นร่วมลงทุนด้วย ซึ่งจะทำให้สามารถดูแลลูกค้าเก่าและให้บริการลูกค้าใหม่ในพื้นที่ได้อย่างต่อเนื่อง”
นอกจากนี้แล้ว บริษัทฯ ยังได้มีการรับคืนสิทธิ์สาขากระบี่และภูเก็ตจากรายเดิม เหตุเพราะไม่มีเวลาดูแลและบริหารงานสาขาได้อย่างเต็มที่ โดยการขอคืนสิทธิ์เป็นความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย เพื่อจะช่วยกันรักษามาตรฐานการให้บริการภายใต้ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์เอาไว้ โดยบริษัทฯ จะได้พิจารณาโอนสิทธิ์สาขาดังกล่าว ให้แก่แฟรนไชส์รายที่มีความพร้อมเข้าบริหารงานสาขาต่อไป ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่า บจก.นครศรี โฮมบิลเดอร์ จะเป็นผู้เข้าบริหารสาขาแทน
ทั้งนี้ การที่บริษัทฯ มีสาขาทั่วประเทศจำนวนมาก ก็ย่อมมีโอกาสพบกับปัญหาและอุปสรรคในการบริหารจัดการเพิ่มขึ้นตามกัน แต่จะเห็นได้ว่าการบริหารสาขาภายใต้ระบบ แฟรนไชส์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ที่บริษัทฯ วางรูปแบบไว้นั้น มีแนวทางการแก้ไขปัญหาและการดูแลลูกค้าอย่างเป็นระบบ จึงทำให้นักลงทุนที่ซื้อแฟรนไชส์ไม่เกิดความเสียหายมาก เพราะสามารถโอนสิทธิ์คืนได้ รวมทั้งผู้บริโภคที่ใช้บริการสร้างบ้านก็ไม่ได้รับผลกระทบรุนแรง เพราะยังมีบริษัทฯ และผู้ประกอบการรายใหม่ที่อยู่ภายใต้เครือข่ายแฟรนไชส์พีดีเฮ้าส์เข้ามาดูแลแทน
ดังนั้น หากจะเปรียบเทียบการว่าจ้างสร้างบ้านกับผู้ประกอบการรับสร้างบ้านทั่วๆ ไป ที่ไม่มีระบบแฟรนไชส์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์กำกับดูแล เมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็จะไม่มีหน่วยงานใดดูแลรับผิดชอบต่อ หรือผู้บริโภคต้องช่วยเหลือตัวเองเท่านั้น บริษัทฯ จึงมั่นใจว่าแนวทางการขับเคลื่อนธุรกิจรับสร้างบ้าน ให้ขยายและเติบโตออกไปทั่วประเทศที่ผ่านมา ด้วยระบบแฟรนไชส์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์นั้น มั่นใจว่าเดินมาถูกทางแล้วและเชื่อว่าจะสามารถสร้างผู้ประกอบการ SMEs รายใหม่ให้เป็นมืออาชีพและเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต นายสิทธิพร กล่าวทิ้งท้าย