เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าสัญญาณการชะลอมาตรการคิวอีของธนาคารกลางสหรัฐฯ นั้น กดดันสินทรัพย์แทบจะทุกประเภท โดยหลังการรายงานผลการประชุมในช่วงวันที่ 19 ที่ผ่านมาราคาหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงทันที ไม่เว้นแม้แต่ราคาน้ำมันดิบและราคาทองคำก็ร่วงลงตามกัน ซึ่งในภาวะปกติสถานการณ์ที่เราเห็นการร่วงลงของสินทรัพย์เสี่ยงแรง ๆ นั้น มักจะตามมาด้วยการเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูง เพื่อเป็นการพักเงินหรือหนีความผันผวนแต่เหตการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันคือการร่วงลงอย่างหนักของตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ และต่อเนื่องถึงตลาดพันธบัตรในชาติอื่น จากสิ่งที่เกิดขึ้นเราพอจะกล่าวได้หรือไม่ว่าความสำคัญของนโยบายสภาพคล่องหรือ QE สหรัฐฯ มีความสำคัญต่อตลาดการลงทุนโลก และคำถามที่สำคัญกว่านั้นคือโลกพร้อมหรือยังที่จะออกจากการพึงพานโยบายสภาพคล่อง ซึ่งในมุมมองส่วนตัวผมเชื่อว่า “ยังไม่พร้อม”
ก่อนที่จะอธิบายถึงความไม่พร้อมในการ “exit policy” ผมก็อธิบายสิ่งที่เกิดในตลาดพันธบัตรและทิศทางดอกเบี้ยกันเป็นปฐมก่อน หลังการส่งสัญญาณชะลอ QE ของสหรัฐ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลของชาติต่าง ๆ ทั่วโลกดีดตัวสูงขึ้นอย่างมากตัวอย่างเช่น อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 10 ปีสหรัฐฯ พุ่งขึ้นประมาณ 40 basis point หรือ 0.40% อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรอายุ 10 ปีญี่ปุ่น พุ่งขึ้นประมาณ 3 basis point หรือ 0.03% อิตาลี สเปนและโปรตุเกสปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 30 basis point ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ของไทยเพิ่มขึ้นประมาณ 27 basis point หรือประมาณ 0.27% ทำให้ประเมินโดยรวมจึงอาจจะกล่าวได้ว่าจุดต่ำสุดของอัตราดอกเบี้ยในตลาดอาจจะผ่านไปแล้ว หมายถึงทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นในอนาคต
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรและการขยับขึ้นของดอกเบี้ย (ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากความวิตกชะลอ QE) สำหรับประเทศไทยในระยะกลางอาจจะกระทบเพียงเล็กน้อย แต่ระยะสั้นความผันผวนจากการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็วส่งผลต่อค่าเงินบาท ส่วนระยะยาวต้องขึ้นอยู่กับโครงสร้างและความเข้มแข็งของเศรษฐกิจไทย แต่สำหรับบางประเทศการเร่งขึ้นของอัตราดอกเบี้ยอาจจะส่งผลให้เศรษฐกิจที่เปราะบางอยู่แล้วมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะยุโรป ญี่ปุ่น และตัวสหรัฐอเมริกาเอง
สำหรับยุโรปแล้วชาติที่น่าห่วงคือกลุ่มที่กำลังประสบปัญหาหนี้สินอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงปริมาณหนี้แล้วระดับของหนี้สินยังไม่ได้ลดลง โดยหนี้ที่ครบกำหนดชำระมีการ refinance ผ่านการรับเงินช่วยเหลือและการออกพันธบัตรเพิ่ม การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยทำให้การ refinance ในอนาคตมีต้นทุนที่สูงขึ้น และเมื่อภาระดอกเบี้ยสูงขึ้นความสามารถในการชำระหนี้ในอนาคตก็จะลดลง และเป็นตัวแปรสำคัญต่อเครดิตความน่าเชื่อถือ ขณะที่ชาติที่ยังไม่ได้ประสบปัญหาหนี้สินโดยตรงก็มีการชะลอตัวทางเศรษฐกิจอย่างเห็นได้ชัดไม่เว้นแม้แต่ชาติผู้นำกลุ่มอย่าง เยอรมนีและฝรั่งเศส การเดินหน้าเพื่อลดความเข้มงวดในการขาดดุลในอนาคตเป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่ถ้าอัตราดอกเบี้ยขยับขึ้นก็จะไปบดบังความน่าสนใจในการลงทุนภาคเอกชนขณะที่เพิ่มภาระให้ภาครัฐ เนื่องจากการขาดดุลที่เพิ่มขึ้นจะยิ่งทำให้อัตราการกู้ยืนเงินของภาครัฐเพิ่มขึ้นเช่นกัน
ขณะที่สหรัฐฯ เองมีความอ่อนแอในภาคการเงินและอสังหาฯ การขยับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในตลาดก็อาจจะไปชะลอการฟื้นตัวที่เป็นไปอย่างอ่อนแออยู่แล้วในปัจจุบัน ประกอบกับราคาสินทรัพย์ที่ร่วงลงยิ่งลดสัญญาณบวกทางเศรษฐกิจและกระทบต่อภาคการลงทุน ด้านการพึ่งพานโยบายการคลังสหรัฐฯ เองยังประสบปัญหาการผ่านมาตรการต่าง ๆ ในสภาคองเกรส และด้วย sequestration ที่ลดทอนรายจ่ายการคลังอยู่แล้วยิ่งทำให้การพึ่งพาการใช้จ่ายภาครัฐทำได้น้อยลง
ดังนั้นโดยสรุปผมเชื่อว่าโดยสภาวะที่เราอยู่ในปัจจุบันนั้น เรายังไม่พร้อมที่จะออกจากทิศทางนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราเหมาะกับการผ่อนคลายนโยบายตลอดไป ท้ายสุดไม่ทางใดก็ทางหนึ่งนโยบายการเงินต้องมีทางลง มิเช่นนั้นก็จะก่อให้เกิดปัญหาในรูปแบบอื่นตามมา เพียงแต่จังหวะเวลาและขั้นตอนในการก้าวลงต่างหากที่ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องสำคัญ ส่วนผลกระทบที่เกิดกับตลาดการลงทุนก็คงเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้ แต่ถ้าพื้นฐานของสิ่งที่เราลงทุนยังดี ผมเชื่อว่าโอกาสที่จะสร้างผลตอบแทนที่ดีในอนาคตก็มีเช่นกัน
โดย กมลธัญ พรไพศาลวิจิต
ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท จีที เวลธ์ แมเนจเมนท์ จำกัด
GT Wealth Management
www.gtwm.co.th
TEL : 02-673-9911