ทั้งนี้ เนื่องจากตั้งแต่ประเทศไทยมีการใช้ระบบนี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจเกษตรอย่างกว้างขวางครอบคลุมทั้งพืชและสัตว์ เป็นระยะเวลายาวนานกว่า 30-40 ปีนั้น ไทยยังไม่เคยมีหน่วยงานภาครัฐหรือหน่วยงานใดที่จะเข้ามากำกับดูแลอย่างจริงจัง และที่ผ่านมาผู้ประกอบการกับเกษตรกรต่างใช้ความไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นหลัก
ล่าสุด คณะกรรมาธิการกฏหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร โดยพลตำรวจเอกวิรุฬห์ ฟื้นแสน ประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้เชิญให้ซีพีเอฟเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคณะทำงานศึกษาข้อเท็จจริงและข้อกฏหมายเกี่ยวกับความไม่เป็นธรรมแก่เกษตรกรและผู้ประกอบการที่อยู่ภายใต้ระบบการผลิตแบบเกษตรพันธสัญญา ร่วมกับทางเกษตรกร องค์การพัฒนาเอกชน (NGO) และภาครัฐหลายหน่วยงาน อาทิ กระทรวงยุติธรรม สภาทนายความ คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นต้น
“ซีพีเอฟพร้อมให้ความร่วมมือด้วยความยินดียิ่ง ทั้งยังได้นำสัญญาที่บริษัทใช้งานอยู่ในปัจจุบันมอบให้คณะทำงานได้นำไปเป็นต้นแบบในการศึกษา ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนให้เกิดความเป็นธรรมในระบบ” นายณรงค์กล่าวและว่า
ปัจจุบัน ระบบ Contract Farming ทางด้านปศุสตว์ในประเทศไทย มีใช้กันอย่างกว้างขวางใน 2 ประเภทหลัก คือ ประเภทประกันรายได้และประกันราคา โดยมีบริษัทขนาดใหญ่ที่ใช้ระบบนี้อยู่ราว 20-25 บริษัท นอกเหนือจากนี้ยังมีบริษัทขนาดกลางและเจ้าของธุรกิจอีกมากมายที่ต่างก็นำระบบไปใช้ในรูปแบบของตนเอง ซึ่งหากมีหน่วยงานกลางและสัญญากลางมาเป็นแนวทาง เชื่อว่าจะทำให้ภาพรวมของการทำเกษตรพันธสัญญาเป็นไปอย่างเป็นธรรมกับทุกฝ่าย ลดการเอารัดเอาเปรียบกันได้อย่างเป็นรูปธรรม
อย่างไรก็ตาม การร่างสัญญากลางและกรรมการชุดนี้ จำเป็นต้องมีผู้รู้ในเชิงเทคนิคด้านการเกษตร และผู้รู้ในเชิงระบบเศรษฐกิจและสังคมเข้ามาเป็นคณะทำงานและคณะกรรมการ เพื่อดูแลและให้ข้อมูลเชิงวิชาการด้วย เพื่อให้กฏหมายดังกล่าวสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจ จึงจะเกิดประโยชน์ และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ตลอดจนบังคับใช้ได้จริง