นายพิศาล ธรรมวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีดีเฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ เจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์และเอคิวโฮม เปิดเผยว่า เศรษฐกิจและกำลังซื้อผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มชะลอตัว คาดว่าจะส่งผลให้ตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลมีการแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น เนื่องเพราะมีผู้ประกอบการแข่งขันอยู่จำนวนมาก ขณะเดียวกันตลาดรับสร้างบ้านต่างจังหวัดในบางพื้นที่ ที่มีผู้ประกอบการแข่งขันกันอยู่จำนวนมาก เช่น เชียงใหม่ อุดรธานี ชลบุรี ก็น่าจะแข่งขันรุนแรงเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาสสามนี้พบว่า บริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำหลายราย เริ่มโหมจัดโปรโมชั่นออกมาแข่งกันอย่างคึกคักมากขึ้น
“อย่างไรก็ดี โปรโมชั่นหรือแคมเปญต่างๆ นั้นเป็นเพียงกลยุทธ์ทางการตลาดและการขายของผู้ประกอบการ เพื่อหวังจะกระตุ้นการตัดสินใจซื้อเร็วขึ้น ฉะนั้นผู้บริโภคจึงไม่ควรสนใจเพียงแค่ส่วนลดและของแถม แต่ควรศึกษารายละเอียดของสินค้าหลักให้ดีเสียก่อน เช่น ขนาดพื้นที่ใช้สอย ชนิดและคุณภาพวัสดุ ฝีมือและผลงานเมื่อบ้านสร้างแล้วเสร็จ เงื่อนไขการให้บริการและค่าใช้จ่าย ฯลฯ เป็นต้น เพราะหากเข้าใจผิดหรือเข้าใจไม่ถูกต้องในสาระสำคัญของคุณภาพสินค้า อาจก่อให้เกิดความขัดแย้งตามมาภายหลัง”
สำหรับ การรับมือกับภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่มีแนวโน้มชะลอตัวในครึ่งปีหลังนั้น บริษัทฯ มีการกำหนดทิศทางการแข่งขันและปรับตัวมาเป็นระยะเวลากว่า 4 ปีแล้ว โดยมุ่งเน้นขยายสาขาใหม่ๆ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัด ซึ่งทำให้บริษัทฯ ประสบผลสำเร็จทั้งในแง่ 1.การเติบโตของยอดขาย 2.การขยายฐานลูกค้าทั้งในปัจจุบันและระยะยาว และ 3.การกระจายความเสี่ยงของธุรกิจ โดยเฉพาะเมื่อใดที่เศรษฐกิจของประเทศชะลอตัว หรือเกิดภัยธรรมชาติในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง อย่างเช่น เมื่อปี 2554 ที่เกิดมหาอุทกภัยขึ้น บริษัทฯ ก็ยังคงมียอดขายเติบโตได้ดีและเติบโตต่อเนื่องมาทุกปี ทั้งนี้ แนวโน้มเศรษฐกิจที่อาจชะลอตัวในครึ่งปีหลัง จึงไม่มีผลต่อการเติบโตของยอดขายและรายได้รวมบริษัทฯ ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น แม้ว่าในบางพื้นที่ยอดขายอาจะไม่เติบโตเพราะมีการแข่งขันกันรุนแรง แต่ในพื้นที่ที่บริษัทฯ เปิดตลาดใหม่ก็มียอดขายมาชดเชยหรือเพิ่มขึ้น
ที่ผ่านมา ข้อมูลสำรวจความเห็นผู้บริโภคของบางหน่วยงาน ระบุไว้ว่า จำนวนสาขามีผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคน้อยมาก โดยก่อนหน้านี้ที่มีการเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ข้อมูลออกมา ยอมรับว่ามีความกังวลและลังเลอยู่บ้าง ซึ่งฝ่ายบริหารก็มีการวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ จนมีผลสรุปว่าควรมีการขยายสาขาเพิ่มทั้งในเขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด มาวันนี้ ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าบริษัทฯ เดินมาถูกทางแล้ว ปัจจุบันบริษัทฯ มีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 36 แห่ง แบ่งเป็น พีดีเฮ้าส์ 34 สาขา และเอคิวโฮม 2 สาขา และเร็วๆ นี้เตรียมขยายสาขาเพิ่มอีก 2 สาขา ได้แก่ สมุทรปราการและราชบุรี เพื่อจะเข้าถึงผู้บริโภคหรือขยายฐานตลาดให้กว้างขึ้น และอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในแต่ละพื้นที่ที่สนใจใช้บริการสร้างบ้านกับบริษัทฯ รวมทั้งเพื่อให้เป็นไปตามเป้ายอดขายที่ตั้งไว้ปีนี้ 1.4 พันล้านบาท นาย พิศาล กล่าวทิ้งท้าย