นายจักรกฤษณ์ ธนวิรุฬห์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ฝ่ายบริหารและการเงิน บริษัท บลิส-เทล จำกัด (มหาชน) (BLISS) สถานการณ์ของบริษัทฯ เริ่มเห็นภาพการเทิร์นอะราวด์อย่างเด่นชัด โดยเห็นได้จากผลประกอบการไตรมาส 2/2556 ที่สามารถพลิกกลับมาทำกำไรสุทธิได้สำเร็จ โดยอยู่ที่ 6.83 ล้านบาท หรือเติบโต 125.90% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 26.37 ล้านบาท สำหรับงวด 6 เดือนแรกของปีนี้พลิกมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.21 ล้านบาท เติบโต 105.04% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 43.80 ล้านบาท
“ความจริงแล้วในไตรมาส 2/2556 นี้ BLISS มีกำไรจากการค้าเป็นเงิน 11.54 ล้านบาท แต่เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่เป็นการชดเชยการเลิกจ้างพนักงานเดิม 4.70 ล้านบาท ทำให้ตัวเลขในบรรทัดสุดท้ายโชว์กำไรสุทธิเพียง 6.83 ล้านบาท อย่างไรก็ตามถือเป็นสัญญาณที่ดี และเป็นการเทิร์นอะราวด์ของผลการดำเนินงานที่สามารถเติบโตอย่างเด่นชัด และสะท้อนว่าเราเดินมาถูกทาง ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ คือ ธุรกิจติดตั้งเครือข่าย 3G , ธุรกิจติดตั้งอุปกรณ์และระบบไอที และธุรกิจซอร์ฟแวร์ และดิจิตอล มีเดีย พร้อมด้วยการจัดระบบบริหารจัดการภายในองค์กรให้เกิดประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”
ทั้งนี้ บริษัทฯได้ปรับโครงสร้างทางธุรกิจใหม่ โดยได้ยกเลิกธุรกิจจัดจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ และหันมาดำเนินธุรกิจโทรคมนาคมแทน ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ธุรกิจหลักดังนี้ 1.ธุรกิจติดตั้งระบบเครือข่ายโทรคมนาคม และบริการขยายเครือข่ายการส่งสัญญาณ 3G ภายในอาคาร 2.ธุรกิจไอที โซลูชั่น บริการติดตั้งอุปกรณ์และระบบไอทีให้แก่ องค์กรภาครัฐและอุตสาหกรรมต่างๆ และ 3.ธุรกิจซอร์ฟแวร์ และดิจิตอล มีเดีย เช่น การพัฒนาซอร์ฟแวร์ , Mobile Application และผลิตสื่อดิจิตอลรูปแบบใหม่สำหรับการเรียนการสอนให้แก่หน่วยงานของภาครัฐ
“เราได้ปรับโครงสร้างธุรกิจมาเป็นให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสารและโทรคมนาคม ทั้งทางด้านซอฟแวร์ และฮาร์ดแวร์ เนื่องจากมองว่ามีโอกาสเติบโตสูงตามอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทย ที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารจากบนระบบ 2.5G มาเป็น 3G และอนาคตจะก้าวเข้าสู่ระบบ 4G ทำให้ในช่วง 3-5 ปีนี้ ธุรกิจโทรคมนาคมมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่ธุรกิจดังกล่าวมีอัตรากำไร (Margin) ค่อนข้างดี ซึ่งบริษัทฯได้เริ่มดำเนินธุรกิจใหม่ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา”
สำหรับผลประกอบการในปี 2556 บริษัทฯ ตั้งเป้าจะพลิกเป็นกำไรได้ จากปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 50 ล้านบาท พร้อมวางเป้ารายได้รวมไว้ที่ 1,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 373 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 400 ล้านบาท และในปัจจุบันยังคงเดินหน้าประมูลงานใหม่ๆอย่างต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้จะชนะงานประมูลอีกมูลค่าไม่ต่ำกว่า 600 ล้านบาท