เรื่องราวการค้นพบมหัศจรรย์แห่งพิเทร่า ส่วนผสมอันเป็นเอกลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวของเอสเค-ทู เกิดขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1970 นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นได้เดินทางไปถึงโรงงานบ่มสาเกแห่งหนึ่ง สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ได้ประจักษ์ คือ คนงานชราสูงอายุทั้งหลายในโรงงานต่างมีใบหน้าที่แห้งกร้านและเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นตามกาลเวลา ทว่ามือของพวกเขากลับนุ่มนวลและดูเนียนเรียบอย่างน่าอัศจรรย์ใจ จากการที่ได้สังเกตถึงความงามและอ่อนเยาว์ของมือเหล่านั้น นักวิทยาศาสตร์จึงพบว่ามือของคนงานชราทั้งหลายมีโอกาสสัมผัสกับยีสต์ธรรมชาติที่ใช้ประจำอยู่ในโรงงาน ซึ่งข้อพิสูจน์นี้ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจ ทำให้ เอสเค-ทูทำการค้นคว้าและวิจัยกระบวนการหมักบ่มสาเกอย่างจริงจังถึง 5 ปี จนก่อให้เกิดผลลัพธ์อันทรงคุณค่านั้นก็คือสารที่เกิดจากการหมักด้วยยีสต์ธรรมชาติ ชื่อว่า พิเทร่า? ซึ่งเป็นส่วนประกอบอันเป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเอสเค-ทูนับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ภายหลังจากการค้นพบพิเทร่า? ‘Facial Treatment Essence’ ผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกจากเอสเค-ทู ก็ได้รับการพัฒนาและถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในปีคศ.1980 นำนิยามใหม่ของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมาสู่วงการความงามจนถึงปัจจุบัน และได้กลายเป็นสุดยอดเอ็สเซ็นส์บำรุงผิวที่ได้รับการกล่าวขานจากผู้หญิงทั่วโลกว่าเปรียบดั่ง ‘Miracle Water’
ภายในงาน คุณวรศิษย์ ตุรงค์สมบูรณ์ ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์เอสเค-ทู ประจำประเทศไทย บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล เทรดดิ้ง (ประเทศไทย ) จำกัด ได้เผยวิธีการรังสรรค์พิเทร่า? เอกลักษณ์อันล้ำค่าดั่งงานศิลป์ของเอสเค-ทู ใน 6 ขั้นตอนการผลิต ‘Facial Treatment Essence’ อย่างพิถีพิถัน โดยเริ่มจากการคัดเลือกยีสต์พิเศษที่ดีที่สุดเพียงสายพันธุ์เดียวจากกว่า 350 สายพันธุ์ นำมาเพาะภายใต้สภาพแวดล้อมที่ถูกควบคุมอย่างดีเยี่ยม จากนั้นเติมสารอาหารสำหรับยีสต์ที่ผ่านการคำนวณสัดส่วนอย่างแม่นยำลงไปในยีสต์ดังกล่าว เพื่อเสริมการเจริญเติบโตให้กับยีสต์ ก่อนหมักบ่มในเครื่องหมักบ่มที่เต็มไปด้วยสารละลายอาหารจำนวนมากจนได้ของเหลวสุดพิเศษ แล้วจึงกรองอย่างประณีตจนได้สารตั้งต้นแห่งพิเทร่า? ที่เข้มข้น แล้วนำมาเข้าสู่กระบวนการแยกน้ำจนก่อกำเนิดเป็นพิเทร่า? ที่ทรงประสิทธิภาพ ปิดท้ายด้วยขั้นตอนการบรรจุลงขวดอย่างพิถีพิถัน ซึ่ง ‘Facial Treatment Essence’ ถือเป็นผลิตภัณฑ์ของเอสเค-ทูที่มีพิเทร่า? เข้มข้นสูงสุดกว่า 90% เป็นส่วนประกอบที่เปี่ยมด้วยสารอาหารที่ดีต่อผิว อาทิ กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ โปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ ที่ผสานกันอย่างลงตัว และ ทำให้พิเทร่า? สามารถซึมซาบเป็นหนึ่งเดียวกับผิวได้อย่างง่ายดาย ช่วยรักษาระดับความชุ่มชื้นตามธรรมชาติของผิว และหล่อเลี้ยงให้ผิวมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอ
โดยในทุกขั้นตอนการผลิตดังกล่าว เอสเค-ทูใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อให้มั่นใจว่าทุกหยดของพิเทร่า? เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพตรงตามมาตรฐานของเอสเค-ทู ซึ่งกระบวนการผลิตจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวดและมีการตรวจสอบคุณภาพอยู่เสมอ ที่สำคัญยังพิถีพิถันในการเตรียมสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมสำหรับการหมักบ่มพิเทร่า? ให้เป็นไปตามกระบวนการธรรมชาติ ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติที่เอสเค-ทู ยึดถือมานานกว่า 30 ปี เพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนผสมอันล้ำค่านี้
และในโอกาสนี้ คุณโสภิตนภา ชุ่มภาณี แบรนด์แอมบาสเดอร์ที่ผูกพันกับเอสเค-ทูมานานกว่า 10 ปี ซึ่งเป็นผู้ที่สัมผัสหยดแรกแห่งความมหัศจรรย์ในเมืองไทย ได้กล่าวถึงความประทับใจในการเดินทางสู่การค้นพบต้นกำเนิดแห่งความมหัศจรรย์ที่เอสเค-ทูนำมาสู่ผิวครั้งนี้ว่า “นับเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่เจี๊ยบได้สัมผัสมหัศจรรย์แห่งพิเทร่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เจี๊ยบได้รู้จักและสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษจากผลิตภัณฑ์เอสเค-ทูอย่างหลากหลาย จนทำให้เกิดเป็นความรักและความผูกพันที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เจี๊ยบเดินทางไปร่วมงานเอสเค-ทู ที่ประเทศญี่ปุ่น ได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมโรงบ่มสาเก และสัมผัสมืออันอ่อนนุ่มของคนงานวัยชรา ทำให้เข้าใจถึงแรงบันดาลใจของนักวิทยาศาสตร์เอสเค-ทู นอกจากนี้ยังได้ไปเยี่ยมชมพีแอนด์จี โกเบ อินโนเวชั่น เซ็นเตอร์ เจี๊ยบได้เห็นเบื้องหลังการศึกษาวิจัยที่มีความมุ่งมั่นและทุ่มเทตั้งแต่เริ่มแรก ตลอดจนการค้นพบความมหัศจรรย์แห่งพิเทร่า?มาจนถึงทุกวันนี้ ทำให้เจี๊ยบรู้สึกเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์เอสเค-ทูมากยิ่งขึ้น เจี๊ยบจึงอยากขอบคุณผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในเอสเค-ทูที่ตั้งใจพัฒนาให้เอสเค-ทูเป็นสุดยอดผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่สามารถตอบโจทย์ทุกปัญหาผิวให้แก่ผู้หญิง และ ผู้ชายทั่วโลก”
ทางด้านคุณสู่ขวัญ บุลกุล แบรนด์แอมบาสเดอร์ผู้ผูกพันกับเอสเค-ทูมากกว่า 5 ปี กล่าวว่า “ขวัญรับรู้ได้ด้วยตัวเองเลยว่า เอสเค-ทู เป็นผลิตภัณฑ์ที่บริสุทธิ์จากธรรมชาติอย่างแท้จริง เพราะขวัญเป็นคนที่มีผิวแพ้ง่าย มีปัญหามาตลอด จนกระทั่งได้สัมผัสกับเอสเค-ทู นับเป็นประสบการณ์พิเศษที่ขวัญได้รับ และทำให้ขวัญผูกพันกับเอสเค-ทู อย่างไม่มีวันเปลี่ยนแปลง สิ่งที่ทำให้เอสเค-ทู แตกต่าง คือ เรื่องราวอันเป็นตำนานของ พิเทร่า? ส่วนประกอบอันเป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์เอสเค-ทูที่ทรงคุณค่าและไม่เหมือนใคร รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในทุกกระบวนการรังสรรค์ผลิตภัณฑ์ เหมือนที่เราได้รับทราบในวันนี้ ขวัญเชื่อว่าทุกท่านที่ได้ลองสัมผัสความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับผิวที่เกิดขึ้นได้จริงหลังจากได้ลองใช้ผลิตภัณฑ์เอสเค-ทู เหมือนที่นักวิทยาศาตร์ของเอสเค-ทู และทุกคนที่ได้ใช้เอสเค-ทูต่างตกหลุมรัก Facial Treatment Essence เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมอันทรงประสิทธิภาพของพิเทร่า? มากถึง 90% ทำให้เอสเค-ทู เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ไม่สามารถหาสิ่งใดทดแทนได้อย่างแท้จริง”
เรื่องราวความประทับใจของการค้นพบพิเทร่า? ในโรงบ่มสาเก กลายเป็นตำนานอันล้ำค่าของเอสเค-ทู ที่สืบสานมายาวนานกว่า 35 ปี นอกจากจะเป็นแรงบันดาลใจให้นักวิทยาศาสตร์เอสเค-ทูคิดค้น และสกัดสารธรรมชาติเพื่อความงามอันเลอค่า มาบรรจุในขวด ‘Facial Treatment Essence’ แล้ว ยังเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์สั้นล่าสุดของเอสเค-ทู โดยผลงานการกำกับของ ทอม ฮูเปอร์ ผู้กำกับชื่อดัง ที่ประสบความสำเร็จจากภาพยนตร์เรื่อง The King’s Speech และ Les Mis?rables งานนี้เอสเค-ทูได้เปิดตัวภาพยนตร์สั้นฉบับสมบูรณ์ ความยาวกว่า 2 นาที อย่างเป็นทางการ เพื่อเล่าเรื่องราวการค้นพบมหัศจรรย์แห่งพิเทร่า? ในโรงบ่มสาเกอย่างเต็มรูปแบบ
นอกจากนี้ เพื่อให้เข้าใจถึงความพิถีพิถันในการคัดเลือกยีสต์สายพันธุ์พิเศษเพียงหนึ่งเดียวเพื่อให้ได้สารมหัศจรรย์พิเทร่า? เอสเค-ทูจึงเปิดโอกาสให้ทุกท่านได้ร่วมทดสอบความเลิศล้ำของสาเกจากการหมักบ่มยีสต์สายพันธุ์ที่ต่างกัน ทำให้ได้กลิ่นและรสชาติที่แตกต่างกันไป โดยเอสเค-ทูได้รับเกียรติจากคุณพลวุฒิ โพธิรัตนังกูร เจ้าของร้านอาหารเกนจิซึ่งลุ่มหลงในวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง มาให้ความรู้เกี่ยวกับการผลิตและประเพณีการดื่มสาเกที่นับเป็นศาสตร์และศิลป์อันลุ่มลึกของการใช้ชีวิตของชาวญี่ปุ่น โดยคุณพลวุฒิ โพธิรัตนังกูร กล่าวว่า “สาเกเป็นเครื่องดื่มประจำชาติของประเทศญี่ปุ่น ที่มีกระบวนการผลิตโดยการหมัก ทำจากข้าว เกิดขึ้นจากส่วนผสมที่ง่ายๆ ระหว่างข้าว น้ำ และส่วนผสมที่จัดอยู่ในประเภทยีตส์ที่จะสร้างเอนไซม์ทำให้แป้งในเมล็ดข้าวกลายเป็นน้ำตาล ขั้นตอนการผลิตสาเกจะพิถีพิถันมาก คนญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับ Koji Master ซึ่งเป็นผู้ทำการคัดเลือกวัตถุดิบและนวดข้าวในการหมักสาเก หัวใจสำคัญของการหมักสาเกอยู่ที่การคัดสรรพันธุ์ข้าว และน้ำ โดยจะคัดข้าวที่มีเม็ดใหญ่ มีสีขาวสวยที่บางคมเปรียบกับสีของมุก ส่วนน้ำแต่ละพื้นที่ก็จะมีลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งโรงงานสาเกแต่ละแห่งก็จะมีแหล่งน้ำเฉพาะของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นจากบ่อน้ำหรือน้ำจากแม่น้ำลำธาร นอกจากนี้ยังต้องใช้ทักษะความเชี่ยวชาญของผู้ผลิตสาเกที่เป็นตัวแปรสำคัญของคุณภาพสาเกอีกด้วย โดยการดื่มสาเกจะมีทั้งการดื่มสาเกแบบเย็น และสาเกแบบร้อน การดื่มที่ถูกต้องและได้รสชาติต้องขึ้นอยู่กับอาหารในแต่ละมื้อที่เรารับประทาน โดยสาเกจะแบ่งออกเป็น 4 ชนิด เริ่มจาก Junmai เป็นสาเกที่ผลิตจากข้าวพันธุ์ดี น้ำ ข้าวมอลต์ และสาเกยีสต์ ไม่มีวัตถุดิบอื่นๆ เจือปน และไม่มีการเติมแอลกอฮอล์ นิยมนำมาดื่มแกล้มกับอาหารที่มีน้ำมันมาก เช่น ปลาไหลญี่ปุ่น, เทมปุระ, ปลาหรือเนื้อ Honjozo สาเกคุณภาพดีในระดับหนึ่ง ราคาไม่แพงมากนัก มีรสชาติกลมกล่อม ดื่มได้ง่ายทั้งแบบร้อนและเย็น เหมาะกับการดื่มในระหว่างอาหารมื้อค่ำ Ginjo สาเกคุณภาพสูงที่เลือกใช้แต่วัตถุดิบชั้นเลิศ อาทิ ข้าวพันธุ์ดีที่ผ่านการขัดสีในอัตราส่วนที่เหมาะสม ข้าวมอลต์และเชื้อหมักอย่างดี และ Daiginjo สาเกคุณภาพสูงสุด กลิ่นและรสชาติหลากหลายซับซ้อนแต่รวมกันได้อย่างสมดุล มีกลิ่นหอมหวานแบบผลไม้ สัมผัสที่ปลายลิ้นจะเบาบางกว่าสาเกประเภท Ginjo รสนุ่มกลมกล่อมติดปลายลิ้น เมื่อดื่มแล้วจะสัมผัสได้ถึงรสชาติอันเป็นเลิศของสาเกที่เลือกใช้แต่วัตถุดิบคุณภาพดี”
โอกาสนี้ทุกท่านยังได้ทดลองนวด Koji สำหรับทำสาเก ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการหมักบ่มสาเกแบบดั้งเดิมที่ช่วยจุดประกายเหล่านักวิทยาศาสตร์ในการค้นหาความลับแห่งความงามอันเลอค่าของเอสเค-ทู และปิดท้ายค่ำคืนด้วยการรับประทานอาหารเย็นร่วมกันในบรรยากาศญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม พร้อมทั้งสาเกพิเศษหลากหลายชนิดที่เอสเค-ทูตั้งใจคัดสรรมาอย่างดีเพื่อเพิ่มเติมประสบการณ์มหัศจรรย์ให้เสมือนวันแรกที่เอสเค-ทู ถือกำเนิด
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม: เดอะ ลีโอ เบอร์เนทท์ กรุ๊ป โดย อาร์ค เวิลด์ไวด์ ประเทศไทย
รวีพลอย เนื่องจำนงค์ (ออย) / โทร +662 684 5588 / อีเมล์ [email protected]
กัญญารัตน์ ธนาสมหวัง (เตย) / โทร +662 684 5690 / อีเมลล์ [email protected]
กฤษฎาพร ช่วยบำรุง (ปุ๋ม) / โทร +662 684 5703 / อีเมลล์ [email protected]