H.H Sheikh Saud เจ้าผู้ครองรัฐราส อัล ไคมาห์ทรงสนพระทัยเกี่ยวกับการท่องเที่ยวของไทยโดยเฉพาะ โดยได้ทรงชื่นชมว่า ไทยเป็นประเทศที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่นักท่องเที่ยวชาวอาหรับและประชากรของราส อัล ไคมาห์ มีการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวอย่างรุดหน้า และเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลกที่มีความหลากหลาย
ภายหลังจากการเข้าเฝ้าฯ กงสุลใหญ่ฯ และคณะ ได้เข้าพบหน่วยงานด้านการท่องเที่ยวของราส อัล ไคมาห์(RAK Tourism) และรับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงานโดย Ms. Kathrin Gnilka, Director of Corporate Partnership/Online Marketing ซึ่งได้แจ้งว่า อุตสาหกรรมและธุรกิจด้านการท่องเที่ยวของราส อัล ไคมาห์ มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา โดยในขณะนี้ ตัวเลขนักท่องเที่ยวได้เพิ่มขึ้นจาก 600,000 คน ในปี 53 เป็น 1.1 ล้านคน ในปี 55 ภายหลังจากการก่อตั้งและการดำเนินการเชิงรุกของ RAK Tourism โดยการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาล
นอกจากนี้ คณะฯ ยังได้พบหารือและรับฟังบรรยายสรุปจากผู้บริหาร RAK Investment Authority (RAKIA) ในด้านของการพัฒนาเขตเศรษฐกิจเสรี (RAK Free Zone) โดย Mr. Peter Schuster, General Manager และ Ms. Fatima Zohra Sindibad, Head of Business Development ซึ่งได้ทราบว่า เขตเศรษฐกิจเสรีของราส อัล ไคมาห์ มีการพัฒนาและเป็นเขตเศรษฐกิจเสรีที่มีชื่อเสียงและมีนักลงทุนชาวต่างชาติให้ความสนใจเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก เนื่องจากมีสิ่งจูงใจที่เอื้อประโยชน์ต่อการลงทุน ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนในการผลิต แรงงานระบบสาธารณูปโภคที่เอื้ออำนวยต่อการขนส่ง ตลอดจนอัตราค่าครองชีพ เป็นต้น ทั้งนี้ นายอัครวุฒิฯ ประธานสภาธุรกิจไทย-ดูไบฯ เตรียมนำคณะผู้ประกอบการกว่า 20 ราย จากประเทศไทยที่จะเดินทางเข้าร่วมเปิดบูธในมหกรรมแสดงสินค้านานาชาติของราส อัล ไคมาห์ เข้าพบหารือร่วมกับผู้บริหารของ RAKIA เพื่อหารือแนวทางการขยายการลงทุนร่วมกันต่อไป พร้อมกันนี้ คณะฯ ได้เยี่ยมชม RAK Ceramics โรงงานผลิตเซรามิกที่ใหญี่ที่สุดในโลก ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐดังกล่าว และมีอัตรากำลังการผลิตกระเบื้องกว่า 360,000 ตารางเมตร และสุขภัณฑ์กว่า 12,000 ชิ้นต่อวัน จากโรงงานผลิต 10 แห่งในยูเออี และในจีน ซูดาน บังคลาเทศ อินเดีย และอิหร่าน อีก ปท. ละ 1 โรงงาน ทั้งนี้ RAK Ceramics ส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังกว่า 160 ปท. ทั่วโลก