โดยนายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ นายกสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย กล่าวถึงกิจกรรมนี้ว่า “จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 11แล้ว และได้รับความร่วมมือจากสมาชิกนำรถโบราณและรถคลาสสิคหลากหลายรุ่นหลายยี่ห้อมาทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งเป็นเสมือนหนึ่งวันพบปะสังสรรค์ของสมาชิก รวมถึงยังเปิดโอกาสให้ผู้สนใจได้สัมผัสและศึกษาเรื่องราวที่น่าสนใจของรถโบราณ”
“ขบวนคาราวานเริ่มออกจากกรุงเทพฯ บริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร (สนามหลวง) ใช้เส้นทางถนนบรมราชชนนี - พุทธมณฑลสาย 4 และถนนเพชรเกษม มุ่งหน้าสู่อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม สำหรับท่านที่เคยเดินทางมาแล้วจะทราบดีว่า สถานที่ท่องเที่ยวที่พลาดไม่ได้ในการเยี่ยมชม คือพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งไทย โดยครั้งนี้คณะเดินทางได้ชมผลงานหุ่นขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาสเพื่อเรียนรู้ประวัติศาสตร์ อาทิ พระบรมรูปกษัตริย์ราชวงศ์จักรี รัชกาลที่ 1-8 บุคคลสำคัญของโลกและผลงานชุดล่าสุดชุด “ขงจื๊อจอมปราชญ์” ที่จำลองได้อย่างสมจริง ถัดจากนั้นได้นำขบวนรถเคลื่อนสู่พิพิธภัณฑ์พื้นบ้านวัดสำโรง ซึ่งเป็นศูนย์กลางศึกษาความรู้ด้านวัตถุโบราณ เครื่องมือ เครื่องใช้ที่หาชมยากในอดีต”
เสน่ห์อย่างหนึ่งของการไปเยือนแผ่นดินเมืองนครชัยศรี ลุ่มแม่น้ำท่าจีน คือ การได้ลิ้มรสกุ้งแม่น้ำและปลาตัวโตที่ทั้งสดและหวานอร่อย ซึ่งในทริปนี้แวะพักเติมพลังยามบ่ายกันที่บ้านแก่งท่าจีน รีสอร์ท ที่นอกจากบรรยากาศจะดีแล้ว รสชาติอาหารพื้นบ้านยังจัดจ้านครบรสทีเดียว
ในอำเภอนครชัยศรีมีตลาดท่านา เป็นตลาดเก่าแก่ริมน้ำท่าจีนที่น่าแวะเยี่ยมเยือนเลือกซื้อสินค้าในราคากันเองกลับบ้านได้ด้วย สินค้าขึ้นชื่อประจำจังหวัดนครปฐมก็คือส้มโอและมะพร้าวหวาน รวมถึงขนมพื้นบ้านไทยอร่อยๆ อีกมากมาย
นายกสมาคมฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า อีกหนึ่งพิพิธภัณฑ์ที่ดูเหมือนจะเป็นเอกลักษณ์คู่นครปฐมไปแล้วนั่นคือ พิพิธภัณฑ์รถโบราณเจษฎาเทคนิคมิวเซียม ซึ่งคณะเดินทางมีโอกาสได้แลกเปลี่ยนความรู้เรื่องรถยนต์โบราณหลากหลายสไตล์รวมนับร้อยคัน ยิ่งกว่านั้นผู้ร่วมคาราวานยังได้เยี่ยมชมศูนย์สุขภาพ เชตวันซึ่งเป็นศูนย์ดูแลและฟื้นฟูด้านสุขภาพอย่างเต็มตัวและที่ขาดไม่ได้ในทุกปีคือการทำบุญร่วมกันซึ่งปีนี้สมาคมฯและสมาชิกได้ร่วมบริจาคสมทบทุนกิจกรรมการอนุรักษ์ว่าวไทยต่อไป
ทุกปีที่ผ่านมาตลอดเส้นทาง ขบวนคาราวานจะได้รับความสนใจอย่างมากจากผู้คนที่พบเห็นซึ่งต่างชื่นชมความสวยงามของตัวรถและเครื่องแต่งกายย้อนยุคของผู้ร่วมงาน
ประวัติสมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย
ในปี พ.ศ. 2514 คุณวิลาศ บุนนาค รองประธาน แหลมทองมอเตอร์สปอร์ตคลับ พร้อมด้วย มร. การ์เล ฮาร์เตวา ผู้หลงใหลรถโบราณ และ มร. ฟอนเบิห์มเบซิ่ง ผู้ซึ่งเคยเป็นเจ้าของรถ เบนท์ลีย์ 1924 อันน่าภาคภูมิ ได้ร่วมมือกันจัดงานประกวดรถโบราณขึ้น เป็นครั้งแรกในประเทศไทย
ความสำเร็จจากการจัดงานดังกล่าว ทำให้เกิดแนวความคิดที่จะก่อตั้งองค์กร เพื่อส่งเสริมให้มีการปกปักษ์รักษามรดก ด้านรถยนต์ในประเทศไทย ดังนั้น ในวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2516 จึงมีการจดทะเบียน สมาคมรถโบราณลุฟท์ฮันซ่า หรือ LUFTANSA VINTAGE CAR CLUB (LHVCC) อย่างเป็นทางการกับกรมวัฒนธรรม โดยมีสายการบินลุฟท์ฮันซ่า เยอรมนี เป็นผู้สนับสนุนรายแรก
ในปี พ.ศ. 2527 บริษัท คาสตรอล (ประเทศไทย) จำกัด ได้รับเป็นผู้อุปถัมภ์ร่วมอีกรายหนึ่งจึงได้เปลี่ยนชื่อสมาคมเป็น สมาคมรถโบราณลุฟท์ฮันซ่า-คาสตรอล
เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2537 ได้เปลี่ยนชื่อสมาคมเป็น สมาคมรถโบราณคาสตรอล เนื่องด้วยข้อจำกัดด้านเงินทุน ทำให้ลุฟท์ฮันซ่าจำต้องยุติการสนับสนุนสมาคมฯ จึงเหลือ คาสตรอลเป็นผู้อุปถัมภ์เพียงรายเดียว ต่อมาเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2546 กระทรวงวัฒนธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับรองการเปลี่ยนชื่อใหม่ของสมาคมอย่างเป็นทางการว่า สมาคมรถโบราณแห่งประเทศไทย