ดร. เจตน์สุระ วงศ์วิเชียร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท แอ๊ดวานซ์ ไลฟ์ ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวในงานสัมมนา “จัดพอร์ตการลงทุนฝ่าวิกฤติ” ถึงภาพรวมเศรษฐกิจไทยว่ายังมีแนวโน้มการเติบโตต่อไปได้ อย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องจากมีปัจจัยลบทั้งภายในและภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย หากไม่มีการรับมือให้ดี เศรษฐกิจถือว่ามีความเสี่ยงสูง ขณะที่แนวโน้มทิศทางดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่ทรงตัวหรืออาจมีการปรับลดลงอีกภายในสิ้นปี แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในปีหน้าจะได้เห็นแนวโน้มทิศทางดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้น
“ปัจจัยลบที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ มาจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ทั้งปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังไม่ฟื้นตัว และกำลังเข้าสู่ปัญหาหน้าผาการคลัง (Fiscal Cliff) ซึ่งเป็นภาวะที่เศรษฐกิจของสหรัฐสูญเสียแรงขับเคลื่อนทางการคลังที่ฉับพลันและรุนแรง แม้จะมีการออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบที่ 3 (QE3) ออกมาก็ตาม รวมทั้ง ปัญหาการว่างงานสหรัฐและยุโรป ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ภัยทางธรรมชาติ รวมถึงปัจจัยภายในประเทศโดยเฉพาะปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้” ดร. เจตน์สุระกล่าว
ทั้งนี้การบริหารแผนการเงินนักลงทุนควรให้ความสำคัญกับการปิดความเสี่ยงจากการลงทุน ด้วยการกระจายพอร์ตการลงทุนในระดับที่เหมาะสม ในแต่ละช่วงอายุ ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 ช่วง โดยช่วงอายุระหว่าง 30-40 ปี เหมาะสำหรับรูปแบบการลงทุนแบบมีความเสี่ยง (Aggressive Portfolio) สำหรับคนที่รักและชื่นชอบความเสี่ยง มีระยะเวลาการลงทุนที่ยาว เน้นการขยายตัวของเงินลงทุนโดยให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นทั้งในและต่างประเทศ สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ทองคำ เป็นต้น ซึ่งในระยะเวลาสั้นๆ มูลค่าเงินลงทุนจะผันผวนมาก ทั้งนี้ก็เพื่อแลกเปลี่ยนกับความเป็นไปได้ที่เงินลงทุนจะเพิ่มขึ้นในระยะยาว สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงอายุ 40-50 ปี เหมาะสำหรับรูปแบบการลงทุนแบบระมัดระวัง (Conservative Portfolio) สำหรับคนใกล้เกษียณ การลงทุนเน้นความระมัดระวัง ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเงินที่ออมและเก็บสะสมมาทั้งชีวิตเพื่อใช้จ่ายหลังเกษียณ ซึ่งสามารถแบ่งสัดส่วนการลงทุนในอิควิตี้ลดลงมา 40% หุ้น 10% ฟิกซ์อินคัม (อาทิ พันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ หุ้นกู้) 40% และอื่นๆ ซึ่งอาจนำเงินบางส่วนไปลงทุนในหุ้นที่เป็นหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี เน้นหุ้นปันผล เพื่อการเติบโตของเงินลงทุน
และสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงอายุ 50-60 ปี เหมาะกับรูปแบบการลงทุนในลักษณะแบบกลางๆ (Moderate Portfolio) หรือพอร์ตแบบผสม เน้นลงทุนระยะยาว ต้องการให้เงินลงทุนมีการขยายตัวบ้าง พอร์ตนี้สามารถคงไว้ยามเกษียณ ซึ่งลักษณะของพอร์ตจะเน้นการลงทุนที่เป็นฟิกซ์อินคัม 70% หุ้น 15% และอื่นๆ 15%
“การที่เราสามารถบริหารแผนการเงิน การลงทุนได้ตามเป้าหมายนับเป็นการช่วยลดความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี ซึ่งเมื่อถึงวัยเกษียณ เรายังสามารถมีเงินเก็บไว้ใช้ยามเกษียณได้ตามที่ตั้งใจไว้ โดยเฉพาะการใช้จ่ายในเรื่องของการดูแลสุขภาพ นอกจากนี้ยังสามารถโอนถ่ายความมั่งคั่งสิ่งที่เรามีอยู่ไปสู่ลูกหลานได้มีรากฐานสำหรับการเริ่มต้นอนาคตได้อีกด้วย ” ดร. เจตน์สุระ กล่าว
อย่างไรก็ตามในส่วนของภาพรวมธุรกิจประกันชีวิตในช่วงที่เหลือของปี ดร. เจตน์สุระ กล่าวว่า ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ค่อนข้างดี เนื่องจากประชาชนมีมุมมองและมีความเข้าใจในเรื่องของการออมผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตมากขึ้น และที่สำคัญผลตอบแทนจากผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต ไม่ต้องถูกหักภาษี เหมือนกับการฝากเงินกับธนาคารพาณิชย์ ทำให้ได้รับผลตอบแทนเต็ม ซึ่งจุดเด่นด้านนี้ จะเป็นตัวทำให้ตลาดดังกล่าวมีการเติบโตค่อนข้างดี ประกอบกับผู้ออมเงิน หรือนักลงทุนเริ่มหันมาให้ความสนใจในเรื่องของการปิดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนในระยะยาวมากขึ้น ดังนั้นผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตประเภทสะสมทรัพย์ต่างๆ จึงเป็นตัวที่ช่วยตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี