นายสนธยา กล่าวว่า ปัจจุบันทั้งหน่วยงานภาครัฐ เอกชน รวมถึงสถานศึกษา มีการตื่นตัวในการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ประเทศไทยจะต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในด้านต่างๆ ซึ่งในมิติของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยนั้น ถือได้ว่าก้าวสู่ความเป็นมืออาชีพในหลายๆด้านทั้งด้านบริบทหรือสถานที่ ถ่ายทำภาพยนตร์ที่ดึงดูดชาวต่างชาติได้เป็นอย่างมาก รวมทั้งเป็นมิติการเชื่อมโยงของประชาชนทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน ภาพยนตร์ไม่ใช่เพียงต้องการสื่อแค่ความบันเทิงเท่านั้น แต่เป็นสิ่งที่จะสร้างสังคมให้มีความเข้มแข็ง อีกทั้งยังเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ ดังข้อมูลปี 2555 ทางสมาพันธ์สมาคมภาพยนตร์แห่งชาติ ได้สำรวจรายได้ที่เกิดจากอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ซึ่งมีมูลค่ารวม 26,992.95 ล้านบาท แบ่งเป็น การถ่ายทำภาพยนตร์ 7,134.73 ล้านบาท การฉายในโรงภาพยนตร์ 3,794 ล้านบาท การจำหน่ายซีดีและ ดีวีดี 6,961.11 ล้านบาท การให้เช่าซีดีและดีวีดี 141.21 ล้านบาท การให้สิทธิ์เผยแพร่ในช่องทางอื่น 6,550 ล้านบาท และรายได้อื่นๆ 2,411.90 ล้านบาท ดังนั้น โครงการโรงภาพยนตร์ชุมชน ถือเป็การเปิดมุมมองใหม่ในถ่ายทอดภาพยนตร์ลงไปสู่ชุมชนทั่วประเทศ ซึ่งจะทำให้ประชาชนได้สัมผัสวัฒนธรรมไทยและวัฒนธรรมของประเทศเพื่อนบ้านผ่านภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดี
นายจาฤก กล่าวว่า บริษัท กันตนา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้ดำเนินโครงการโรงภาพยนตร์ชุมชน (Community Cinema) ขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย โดยร่วมลงทุนกับหน่วยงานเอกชนในท้องถิ่นต่างๆ สร้างโรงภาพยนตร์ขนาดเล็ก 50 ที่นั่ง ราคาตั๋วเพียง 30 บาท ให้เป็นศูนย์รวมและบริการแก่ประชาชนในท้องถิ่น ภายใต้แนวคิด "โรงภาพยนตร์ชุมชน-One Frame, One Culture" โดยใช้ภาพยนตร์เป็นสื่อดึงดูดให้เกิดการเชื่อมโยงวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของผู้คนในชนบทต่างๆ ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศไทย และกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการพัฒนาในทุกๆด้าน ทั้งด้านภูมิปัญญา เศรษฐกิจ และสังคม ตลอดจนสร้างความสมานฉันท์และคุณธรรม ของประชากรอาเซียนกว่า 600 ล้านคน ขณะนี้มีผู้เข้าร่วมโครงการมากกว่า 500 โรงแล้ว โดยมีประเทศอาเซียนเข้าร่วมลงทุนด้วยหลายประเทศ อาทิ พม่า อินโดนีเซีย เวียดนาม ลาว เป็นต้น ทั้งนี้ มีเป้าหมายการดำเนินการในเบื้องต้นในการสรรหาผู้เข้าร่วมลงทุนภาคท้องถิ่น เพื่อกระจายการก่อสร้างให้ได้ 1,000 แห่งทั่วประเทศ คาดว่าจะเปิดดำเนินการพร้อมกันภายในต้นปี 2557