นายวศิน วณิชย์วรนันต์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า นักธุรกิจไทยจะต้องเผชิญความท้าทายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 3 ประการ ได้แก่ 1.ปัจจัยความผันผวนของตลาดเงิน จากดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน 2.การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก ทั้งจีน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ที่ยังเปราะบางและการค้าที่ชะลอตัวอย่างกะทันหัน 3.การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค จากการรับข้อมูลข่าวสารอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า มีบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่เพียง 30-35% ที่มีการบริหารจัดการสภาพคล่องอย่างเหมาะสม ส่วนอีก 70% ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสภาพคล่องเพื่อเพิ่มผลประโยชน์ทางการเงินได้อีก
ดังนั้น ธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีโครงสร้างธุรกิจซับซ้อน ควรเร่งปรับตัวโดยการบริหารจัดการแบบเรียลไทม์ (real time) โดยเฉพาะการเห็นข้อมูลทางการเงินที่ครบถ้วนแบบเรียลไทม์ ผ่านทุกช่องทางการสื่อสารแบบไร้ข้อจำกัด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการบริหารธุรกิจในปัจจุบัน โดยหากธุรกิจสามารถบริหารจัดการกระแสเงินของบริษัทในเครือได้อย่างเหมาะสมและทันท่วงที จะทำให้ธุรกิจมีเงินหมุนเวียนมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมได้ เช่น การรวบรวมสภาพคล่องส่วนที่เหลือจากบริษัทลูกต่างๆในเครือ ไปให้บริษัทลูกอีกแห่งหนึ่งกู้ยืมเป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมจากธนาคาร ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการบริหารจัดการด้านการเงินของธุรกิจทั้งเครือ และสามารถลดต้นทุนการบริหารจัดการด้านการเงินให้บริษัทได้ทันที 10%
นายพจนารถ แสงพฤกษ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เพื่อสนับสนุนธุรกิจในการรับมือกับเทรนด์ดังกล่าว ธนาคารกสิกรไทยได้พัฒนาบริการ K-CONNEX ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่ทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินโดยมองเห็นกระแสเงินของบริษัทในเครือข่ายได้ทั้งหมดอย่างง่ายดาย ช่วยบริหารสภาพคล่องทางการเงินและลดขั้นตอนด้านปฏิบัติการ ทำให้ลูกค้ามีเวลาในการบริหารธุรกิจให้มีประสิทธิภาพได้มากขึ้น ซึ่งมีคุณลักษณะสำคัญคือ
1. บริการที่ทำให้การบริหารจัดการการเงินเป็นเรื่องง่ายขึ้น ด้วยระบบที่สามารถดูสถานะทางการเงินและกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงและสิทธิ์การอนุมัติได้ตามโครงสร้างธุรกิจที่ซับซ้อนได้อย่างไร้ขีดจำกัดด้วยความปลอดภัยระดับสูงสุด โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ มีบริษัทลูกในเครือหลายชั้น ธนาคารฯ สามารถผูกบัญชีตั้งแต่กลุ่มบริษัทใหญ่จนถึงกลุ่มบริษัทย่อย ซ้อนเป็นชั้น ๆ ลงมา หรือไขว้กันได้แบบไม่จำกัดจำนวนชั้น (Layer) ของการผูกบัญชี และไม่จำกัดจำนวนบัญชี ต่างจากบริการเดิมในระบบ ซึ่งมีข้อจำกัดในการผูกชั้นบัญชีได้สูงสุดเพียงไม่กี่ชั้น และจำกัดจำนวนบัญชีที่สามารถผูกกันได้
2. บริการที่ทำให้สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้ทุกที่ทุกเวลา ด้วยการทำงานผ่านแทปเล็ตและสมาร์ทโฟนได้แบบไม่จำกัดระบบ ซึ่งธนาคารกสิกรไทยเป็นธนาคารเดียวที่ให้บริการดังกล่าวได้ครบทุกระบบ ขณะที่บริการจากระบบเดิมยังต้องดำเนินการผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์พีซีเท่านั้น
3. บริการที่ทำให้การปรับปรุงบัญชีแม่นยำยิ่งขึ้น โดยเป็นธนาคารแรกและธนาคารเดียวในประเทศไทยที่มีนวัตกรรมบริการที่ทำให้การปรับปรุงบัญชีแม่นยำขึ้นพร้อมลดเวลาการทำงาน ด้วยระบบปรับปรุงบัญชีย้อนหลังอัตโนมัติได้ นั่นคือ หากผู้ใช้งานมีการปรับปรุงบัญชี เมื่อเข้ามาดำเนินการแก้ไขในจุดหนึ่ง ระบบจะดำเนินการแก้ไขกับทุกบัญชีที่ผูกกันอยู่ ย้อนหลังไปได้แบบอัตโนมัติ จากเดิมที่ต้องแก้ไขเองเป็นรายบัญชี (Manual) จึงช่วยลดเวลาในการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพความแม่นยำในการบริหารจัดการทางบัญชี
นอกจากนั้น ผลิตภัณฑ์ K-CONNEX ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเงินในธุรกิจดังนี้ เพิ่มอำนาจทางการเงินและความคล่องตัวให้ธุรกิจ (Full Visibility and Easy Control) โดยการโอนย้ายเงินไปยังบัญชีต่าง ๆ ได้ตามความต้องการของธุรกิจด้วยระบบความปลอดภัยสูงสุด เพิ่มความสามารถในการควบคุมยอดเงินคงเหลือในแต่ละบัญชีได้อย่างเหมาะสม (Optimize Target Balance) พร้อมด้วยการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญของธนาคาร เพิ่มผลตอบแทนจากการบริหารจัดการเงินสูงสุด (Maximize Profit) โดยช่วยให้สามารถลดการกู้ยืมจากธนาคารและเพิ่มยอดเงินฝาก และเพิ่มความยืดหยุ่นให้องค์กรในการเลือกรูปแบบการผูกบัญชีได้อย่างไร้ขีดจำกัด (Make Complex Customization Easier)
นายวศินกล่าวปิดท้ายว่า ปัจจุบันธนาคารกสิกรไทยมียอดเงินฝากลูกค้าธุรกิจรายใหญ่อยู่ที่ 2.7 แสนล้านบาท โดยเติบโตจากปีก่อน 5% ตั้งเป้าปีหน้าโต 7-10% เป็น 3 แสนล้านบาท และรายได้ค่าธรรมเนียมการจัดการโต 12-16%