ศ.นพ.เกรียง ตั้งสง่า ประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยเปิดเผยร่วมกับสมาคมวิชาชีพด้านอายุรศาสตร์เฉพาะทางของประเทศไทยด้านโรคระบบประสาทวิทยา โรคผิวหนัง โรคหัวใจ โรคไต โรคระบบโลหิตวิทยา เรื่องแนวทางการใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาโรคทางอายุรกรรมว่า ปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทางการแพทย์ ในการค้นคว้าวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีด้านเซลล์ต้นกำเนิดหรือที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า สเต็มเซลล์ (stem cell) โดยสเต็มเซลล์มาจากหลายแหล่ง เช่น จากเซลล์ของตัวอ่อนของทารกจากเซลล์เนื้อเยื่อต่างๆ ของมนุษย์ โดยมีการศึกษาและพยายามที่จะนำความรู้ที่ได้จากการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องสเต็มเซลล์มาพัฒนาเพื่อใช้รักษาโรคต่างๆ ในมนุษย์ แม้ว่านานาประเทศได้ค้นคว้าวิจัยเรื่อง สเต็มเซลล์มาหลายสิบปี แต่ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยร่วมกับเครือข่ายสมาคมแพทย์ เฉพาะทางสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย และสมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย ขอยืนยันว่า จากองค์ความรู้ที่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่เป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน ยังคงจำกัดการรักษาเฉพาะการนำสเต็มเซลล์ที่ได้จากเซลล์ของไขกระดูกของผู้ป่วยเองหรือพี่น้องของผู้ป่วยที่เป็นโรคทางระบบโลหิตวิทยาบางโรคมาใช้เท่านั้น โดยโรคทางระบบโลหิตวิทยาที่แพทย์สามารถใช้สเต็มเซลล์รักษาได้ และสามารถเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามสิทธิการรักษาได้ ได้แก่ โรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาว (leukemia) โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (lymphoma) โรคไขกระดูกฝ่อ (aplastic anemia) โรคมะเร็งมัยติเพิลมัยอิโลมา (multiple myeloma) และโรคโลหิตจางพันธุกรรมธาลัสซีเมีย (thalassemia)
ทั้งนี้ยังไม่มีผลการศึกษาที่ยืนยันได้ชัดเจนว่าสามารถนำสเต็มเซลล์มารักษาโรคอื่นๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือสามารถยืดชีวิต ชะลอความเสื่อมสมรรถภาพของอวัยวะหรือช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตแก่ผู้ป่วยอย่างได้ผล ในระยะยาว สำหรับกลุ่มโรคที่รักษาด้วยสเต็มเซลล์ยังไม่ได้ผลชัดเจนได้แก่ โรคความเสื่อมของอวัยวะจากความชราหรือจากโรคดั้งเดิมอื่น เช่นความเสื่อมของสมอง หัวใจ ไต หรืออวัยวะอื่นๆ ของร่ายกาย ปัจจุบันองค์กรวิชาชีพแพทย์เฉพาะทางต่างๆ ทั่วโลกยังไม่มีการกำหนดแนวทางการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ไว้ในแนวทางเวชปฏิบัติของแพทย์สำหรับรักษาโรคต่างๆ ยกเว้น โรคทางโลหิตวิทยา 5 โรค ดังกล่าวข้างต้น อีกทั้งการนำสเต็มเซลล์มาใช้รักษาอย่างไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดโทษต่อผู้ป่วยที่ได้รับสเต็มเซลล์ ผู้ป่วยอาจเกิดอาการแพ้ เกิดการอุดตันของหลอดเลือด มีการปนเปื้อนของสารเคมี สารโปรตีนแปลกปลอม เชื้อโรค หรือเซลล์แปลกปลอมในระหว่างกระบวนการเตรียมสเต็มเซลล์ที่ไม่ถูกวิธี และเคยมีรายงานการใช้สเต็มเซลล์อย่างไม่ถูกต้องในผู้ป่วยทั้งคนไทยและต่างประเทศ ทำให้ผู้ป่วยเกิดเป็นโรคมะเร็งชนิดร้ายแรงหลังจาก เข้ารับการรักษา ซึ่งการนำสเต็มเซลล์มาใช้อย่างไม่ถูกต้องตามหลักวิชาแพทย์ เป็นปัญหาที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ เพราะผู้ป่วยมีแนวโน้มในการตั้งความหวังว่าจะเกิดผลดีจากการใช้สเต็มเซลล์เพื่อรักษา ซึ่งมากเกินกว่าที่องค์ความรู้ทางการแพทย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันจะมีให้ได้ จึงเกิดช่องว่างระหว่างผู้รู้กับผู้ไม่รู้ และระหว่างความหวังของผู้ป่วยที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับความเป็นจริงขององค์ความรู้ในปัจจุบัน จึงเป็นความสำคัญของการใช้สเต็มเซลล์โดยหากปราศจากองค์ความรู้ที่ถูกต้องและมาตรฐานวิชาชีพทางการแพทย์มารองรับ อาจมีผลกระทบต่อหลักของมาตรฐานวิชาชีพ จรรยาบรรณ และอาจเกิดผลเสียต่อสุขภาพผู้ป่วย และไม่เกิดผลดีตามที่คาดหวังได้
ดังนั้นราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ได้ร่วมกับสมาคมวิชาชีพด้านอายุรศาสตร์เฉพาะทางที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย สมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย และสมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย ขอแสดงจุดยืนร่วมกันว่า “ไม่สมควรนำสเต็มเซลล์ มาใช้เพื่อรักษาผู้ป่วยโรคต่างๆ นอกเหนือจากข้อบ่งชี้ทางการแพทย์สำหรับการรักษาโรคทางระบบโลหิตวิทยาจำนวน 5 กลุ่มโรคดังกล่าวข้างต้น” หากจะนำมาใช้ในมนุษย์ ก็ควรเป็นไปเพื่อการวิจัยที่มีโครงการวิจัยทดลองในมนุษย์ที่รองรับอย่างชัดเจน โดยโครงการวิจัยดังกล่าวนี้ต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบรับรองจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์อย่างถูกต้อง และต้องไม่มีการเรียกเก็บเงินค่ารักษาพยาบาล หรือค่าใช้จ่ายอื่นใดทั้งสิ้นจากผู้ป่วยที่ยินยอมเข้าร่วมโครงการวิจัย
ด้าน ศ.นพ.ธานินทร์ อินทรกำธรชัย ผู้รั้งตำแหน่งประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า โดยคำนิยามสเต็มเซลล์ (stem cells) หมายถึงเซลล์ตัวอ่อนที่สามารถเจริญเติบโตไปเป็นเซลล์ตัวแก่ เพื่อให้อวัยวะนั้นทำงานได้ตามปกติ แต่คุณสมบัติที่สำคัญของสเต็มเซลล์ที่แตกต่างจากเซลล์ธรรมดา คือ
สามารถแบ่งตัว ทำให้เกิดเป็นเซลล์ตัวเอง คือสเต็มเซลล์ใหม่ ทำให้สเต็มเซลล์ไม่หมดไปจากร่างกาย สืบเนื่องจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์พื้นฐานที่พบว่าสเต็มเซลล์มีคุณสมบัติที่สามารถเจริญเติบโตไปเป็นอวัยวะและเนื้อเยื่อต่างๆ ได้ ทำให้ในระยะ 10 ปี มานี้วงการแพทย์มีความตื่นตัวอย่างสูง ในการนำสเต็มเซลล์มาใช้รักษาโรคทางการแพทย์หลาย ๆโรค เนื่องจากการรักษาในปัจจุบัน การพยากรณ์โรคของผู้ป่วยยังไม่สู้ดีนัก
อย่างไรก็ดี บทบาทของสเต็มเซลล์ในการรักษาโรคต่างๆ ยกเว้นโรคทางโลหิตวิทยา ยังอยู่ในขั้นตอนของการวิจัยยังไม่ถือเป็นวิธีการรักษามาตรฐานสำหรับผู้ป่วย แต่ในปัจจุบันได้มีการใช้สื่อทางธุรกิจ โฆษณาประชาสัมพันธ์และชักชวนให้ผู้ป่วยและประชาชนเข้ารับการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ตามคลินิก โรงพยาบาลต่างๆ เป็นจำนวนมากและยังมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงมาก ทางราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้จัดการให้มีการแถลงข่าวในวันนี้เพื่อให้ประชาชนและสังคมไทยจะได้มีความรู้ความเข้าใจและมีวิจารณญาณที่ถูกต้องเกี่ยวกับบทบาทของสเต็มเซลล์ในทางการแพทย์ในปัจจุบัน ก่อนที่จะนำตัวเองหรือครอบครัวเข้ารับการรักษาโดยที่ยังไม่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้องดังกล่าว
ด้าน ผศ.นพ.ดร.นิพัญจน์ อิศรเสนา ผู้เชี่ยวชาญด้านสเต็มเซลล์ แพทยสภา กล่าวว่า รายละเอียดและข้อเท็จจริงของสเต็มเซลล์ในปัจจุบัน ความหมายของคำว่าสเต็มเซลล์ คือเซลล์ที่แบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้อย่างไม่จำกัดและยังไม่เจริญจนกลายเป็นเซลล์ที่โตเต็มวัย สเต็มเซลล์มีหลายชนิด และแต่ละชนิดมีคุณสมบัติแตกต่างกัน สร้างเซลล์ร่างกายต่างชนิดกัน ทางการแพทย์จึงมีการนำไปใช้ต่างกัน หากตั้งแต่แรกเกิดเมื่อไข่ผสมกับอสุจิ ถ้าเราแยกเซลล์จากตัวอ่อนระยะเริ่มแรกมาเพาะเลี้ยงเพิ่มจำนวนในหลอดทดลอง เราเรียก เซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อน(Human embryonic stem cell) มีคุณสมบัติที่กลายเป็นเซลล์ได้ทุกชนิดในร่างกาย แต่เมื่อตัวอ่อนเริ่มมีรูปร่างแม้ยังอยู่ในครรภ์(วัน) เซลล์ที่มีคุณสมบัติเหมือนเซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อนจะหายไปจากร่างกาย อวัยวะส่วนใหญ่จะมีสเต็มเซลล์ของตัวเอง สร้างเซลล์ของอวัยวะนั้นๆ เช่น สเต็มเซลล์สมองสร้างเซลล์ประสาท สเต็มเซลล์ในไขกระดูกสร้างเซลล์เม็ดเลือด เซลล์จากสายสะดือทารกก็ใช้สร้างเซลล์เลือด สเต็มเซลล์จากอวัยวะหนึ่งไม่สามารถสร้างเซลล์ของอีกอวัยวะหนึ่งได้ และเมื่อโตขึ้นอีกสเต็มเซลล์ในหลายๆ อวัยวะจะหายไป หรือมีจำนวนน้อยลงมาก ยกเว้นในอวัยวะที่ต้องมีการสร้างเซลล์สม่ำเสมอทุกๆวัน เช่น สเต็มเซลล์เลือดที่พบในไขกระดูก ที่อยู่ของสเต็มเซลล์ในร่างกายเป็นที่ๆมีความพิเศษที่ทำให้สเต็มเซลล์คงคุณสมบัติอยู่ได้ สเต็มเซลล์เลือดจะอยู่ในไขกระดูกไม่ออกมาในเลือดยกเว้นฉีดยากระตุ้น การนำสเต็มเซลล์มาใช้รักษาโรคมี 3 แนวทางใหญ่ ๆ ดังนี้
1. ปลูกสเต็มและถ่ายเซลล์แทนสเต็มเซลล์ที่ไม่ทำงาน ในอวัยวะที่ต้องมีการสร้างเซลล์สม่ำเสมอ เป้าหมายคือ ให้สเต็มเซลล์หลังปลูกถ่ายไปแล้วสร้างเซลล์ของอวัยวะนั้นๆไปอีกหลายปีหลังปลูกถ่าย ด้วยเหตุผลทางเทคนิกอวัยวะที่ปลูกถ่ายสเต็มเซลล์ได้ยังมีจำกัด การรักษาที่เป็นมาตรฐานในประเทศ และทั่วโลกมีเพียงการนำสเต็มเซลล์จากไขกระดูกไปรักษาโรคระบบเลือดเท่านั้น สำหรับการเพาะสเต็มเซลล์ผิวหนังเพื่อรักษาแผลไฟไหม้ และการเพาะสเต็มเซลล์กระจกตามีใช้ในหลายประเทศแต่ยังไม่เป็นการรักษามาตรฐาน ในไทย
2. การนำสเต็มเซลล์ไปสร้างเซลล์ชนิดจำเพาะก่อนนำมาปลูกถ่าย เช่นเซลล์ประสาทที่สร้างสาร โดปามีนสำหรับรักษาโรคพาห์กินสัน เซลล์ตับอ่อนที่หลั่งอินซูลินสำหรับรักษาโรคเบาหวาน ยังอยู่ในขั้นการทดลอง เนื่องจากข้อจำกัดทางคุณสมบัติของเซลล์ต้นกำเนิดร่างกายในอวัยวะต่างๆที่มีไม่ครบทุกอวัยวะสร้างเซลล์ได้ไม่ครบทุกชนิด และเพิ่มจำนวนได้จำกัดในหลอดทดลอง ซึ่งเซลล์ที่เป็นความหวังคือ เซลล์ต้นกำเนิดตัวอ่อน และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนเซลล์ร่างกายกลับสู่สเต็มเซลล์ ที่เรียกว่า induced pluripotent stem cells ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลในปี 2012
3. การปลูกเซลล์หวังให้เกิดประโยชน์อื่นๆที่ไม่ใช่สร้างเซลล์ เช่นหวังว่าเซลล์ที่ปลูกถ่ายจะหลั่งสารกระตุ้นการซ่อมแซมร่างกาย การศึกษาในลักษณะนี้แม้มีจำนวนไม่น้อยในบางโรค อย่างไรก็ดีข้อมูลส่วนใหญ่ยังไม่แสดงว่ามีประสิทธิภาพมากเพียงพอ หรือแตกต่างกับการฉีดยาหลอก จึงยังไม่มีสมาคมทางการแพทย์ที่เป็นที่ยอมรับถึงการรักษาที่เป็นมาตรฐาน จนกว่าจะมีข้อมูลสนับสนุนมากกว่านี้
ด้าน ศ.นพ.วันชัย วนะชิวนาวิน นายกสมาคมโลหิตวิทยาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การใช้การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (สเต็มเซลล์: stem cell) ในการรักษาโรคเลือด (hematopoietic stem cell transplantation) เกิดมานานกว่า 50 ปี อาจกล่าวได้ว่าโรคเลือดนับเป็นโรคกลุ่มเดียวในปัจจุบันที่มีการศึกษาหรือหลักฐานที่ชัดเจนและเชื่อถือได้ว่า การรักษาด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดมีประโยชน์หรือได้ผลดี โดยหลักการรักษา คือ ให้เซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด (hematopoietic stem cell) ซึ่งส่วนใหญ่มาจากญาติที่เป็นพี่หรือน้องของผู้ป่วย และที่เข้ากันได้กับผู้ป่วย ไปทดแทนเซลล์เม็ดเลือดของผู้ป่วยที่ผิดปกติหรือที่พร่อง/ขาดหายไป โดยโรคเลือดชนิดที่มีการใช้การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือด ได้แก่
- โรคโลหิตจางธาลัสซีเมียที่มีอาการรุนแรง โดยนำเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดของพี่หรือน้องของผู้ป่วยมาให้ผู้ป่วยเพื่อสร้างเม็ดเลือดแดงที่ปกติแทนเม็ดเลือดแดงที่ผิดปกติทางกรรมพันธุ์ของผู้ป่วย
- โรคไขกระดูกฝ่อ (aplastic anemia) โดยปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดของพี่หรือน้องผู้ป่วยเพื่อทดแทนเซลล์ต้นกำเนิดเดิมของผู้ป่วยที่พร่องหรือขาดหายไป
- โรคมะเร็งเม็ดเลือดบางชนิด ได้แก่ มะเร็งเม็ดเลือดขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนิดเฉียบพลัน มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (lymphoma) มะเร็งของไขกระดูกชนิด multiple myeloma โดยส่วนใหญ่เป็นการดำเนินการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดให้กับผู้ป่วย หลังจากรักษาผู้ป่วย (ด้วยยาเคมีบำบัด) จนเซลล์มะเร็งเหลือน้อยมาก และใช้การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดจากพี่หรือน้องของผู้ป่วย หรือในบางกรณีเป็นสเต็มเซลล์ของ ผู้ป่วยเอง เพื่อทดแทนเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดเดิมของผู้ป่วยที่พร่องไปหลังจากให้ยาเคมีบำบัดขนาดสูงหรือการฉายแสง
ด้าน นพ.เกรียงไกร เฮงรัศมี นายกสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์กล่าวว่าโรคหัวใจโดยเฉพาะโรคหลอดเลือดแดงหัวใจ หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เป็นปัญหาและสาเหตุสำคัญในการเสียชีวิตของประชากรไทยและทั่วโลก โดยในประเทศไทยเป็นสาเหตุการเสียชีวิตสูงเป็นอันดับ 3 โรคดังกล่าวเกิดจากหลอดเลือดแดงหัวใจมีการตีบหรืออุดตัน ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์ใน 3 ลักษณะ คือโรคหลอดเลือดแดงหัวใจชนิดเฉียบพลันหรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือตายเฉียบพลัน หรือที่เรียกกันว่า “Heart attack” กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเรื้อรัง และภาวะหัวใจล้มเหลว เมื่อเกิดภาวะของหลอดเลือดหัวใจที่อุดตันเฉียบพลัน จะทำให้กล้ามเนื้อหัวใจมีการขาดเลือด ถ้าอยู่นานเกิน 20-30 นาทีก็จะเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายเป็นบริเวณกว้าง ทำให้ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตทันที หรือในระยะเฉียบพลัน หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนจากภาวะหัวใจล้มเหลวในระยะต่อมา การรักษาที่เหมาะสมคือ การเปิดหลอดเลือดด้วยวิธีให้ยาละลายลิ่มเลือด และหรือการขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนและการใส่ขดลวดค้ำยัน หรือการผ่าตัดเบี่ยงทางเดินหลอดเลือด (Coronary artery bypass graft หรือ CABG) ในเวลาที่รวดเร็วซึ่งจะช่วยลดอัตราการตายและผลแทรกซ้อนได้
ในส่วนกล้ามเนื้อหัวใจในผู้ใหญ่ที่ตายแล้ว ไม่สามารถงอกกลับมาใหม่ได้ ดังนั้น จึงมีผู้คิดค้นการรักษาโดยการฉีด Stem Cell โดย Stem Cell มาจากการเตรียมเซลล์จากไขกระดูก หรือเลือดของผู้ป่วย และนำไปเข้ากระบวนการในห้องทดลอง แล้วจึงนำมาฉีดด้วย 3 วิธี คือ ฉีดเข้าทางหลอดเลือดแดงหัวใจ, ฉีดเข้าบริเวณกล้ามเนื้อส่วนที่ขาดเลือด และฉีดบริเวณผนังเยื่อบุหัวใจด้านใน โดยหวังว่าเซลล์ดังกล่าวจะเพิ่มจำนวน และเพิ่มเลือดให้มาเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจมากขึ้น ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลที่มีรายงานทั่วโลก ตั้งแต่ปี พ.ศ.2539 ถึงปัจจุบัน พบว่ามีการศึกษารวมทั้งหมด 49 เรื่อง โดยเป็นการศึกษาในเฟส 3 ทั้งหมด 13 เรื่อง และเฟส 2 ทั้งหมด 36 เรื่อง การศึกษาโดยทั่วไปก่อนที่จะเสร็จสมบูรณ์ต้องผ่านทั้งหมด 4 ระยะหรือเฟส โดยการศึกษาการรักษาด้วย Stem Cell ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดแดงหัวใจ ดังกล่าว แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 กลุ่มผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดหรือตายเฉียบพลัน มีการศึกษาหลายกรณีศึกษาที่มีการออกแบบการศึกษาที่ดี รวมมีผู้ป่วยประมาณ 381 ราย พบว่าการให้ Stem Cell อาจจะทำให้ผู้ป่วยเหนื่อยน้อยลง เจ็บหน้าอกน้อยลง และลดความถี่ของการเจ็บหน้าอก แต่ไม่มีการศึกษาใดที่พบว่าผู้ป่วยที่ได้รับ stem cells ร่วมกับการรักษาตามมาตรฐานจะสามารถลดอัตราการเสียชีวิตได้ และกลุ่มที่ 2 กลุ่มผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดชนิดเรื้อรัง เป็นการทบทวนจากทั้งหมด 9 การศึกษา พบว่า ผู้ป่วยที่ได้รับ stem cells ร่วมกับการรักษาตามมาตรฐานเจ็บหน้าอกน้อยลง และลดความถี่ของการเจ็บหน้าอก แต่ไม่ลดอัตราการเสียชีวิต สำหรับการติดตามผลการรักษาส่วนใหญ่ยังเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 6 — 12 เดือน
ข้อสรุปบทบาทของ Stem Cell ในผู้ป่วยโรคหัวใจ ปัจจุบันแนวทางเวชปฏิบัติไม่ได้กำหนดให้นำ Stem Cell มาใช้เป็นมาตรฐานในการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจทั้งชนิดเฉียบพลัน ชนิดเรื้อรัง และภาวะหัวใจล้มเหลว ด้วยเหตุผลเป็นการศึกษาเฟส 3 ที่ไม่ลดอัตราการเสียชีวิตที่ชัดเจน จำนวนผู้ป่วยที่ศึกษาไม่มากพอ การติดตามผู้ป่วยเพียงระยะเวลาสั้นๆ ประมาณ 6 —12 เดือนและยังไม่มีมาตรฐานที่ตกลงร่วมกันในระดับสากล ในเรื่องของชนิด ขนาด วิธีการ การเตรียมเซลล์ และเวลาที่จะให้ Stem cell ซึ่งการรักษาด้วย Stem Cell ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ ยังคงต้องอาศัยการวิจัยในอนาคตต่อไป
ด้าน อ.นพ.รัฐภรณ์ อึ๊งภากรณ์ เลขาธิการสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การนำ สเต็มเซลล์มาใช้เพื่อการรักษาโรคผิวหนังและการชะลอวัยนั้น สเต็มเซลล์ หรือ เซลล์ต้นกำเนิด คือเซลล์ที่สามารถแบ่งตัวได้เรื่อยๆ โดยไม่มีขีดจำกัด และสามารถเปลี่ยนเป็นเนื้อเยื้อชนิดต่างๆ ได้หลากหลาย มี 2 ประเภท คือ ที่มาจากตัวอ่อน (embryo) หรือมาจากสิ่งมีชีวิตหลังคลอด เมื่อเซลล์ต้นกำเนิดมักได้ปริมาณน้อย จะต้องมาทำการเพาะเลี้ยงในจานเพาะเลี้ยงเซลล์ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวมีความยุ่งยากซับซ้อน บางกรณีจะใช้น้ำเหลืองจากวัวมาผสมในน้ำเลี้ยงเซลล์ ตลอดจนต้องใช้เซลล์พี่เลี้ยงที่เป็นเซลล์มาจากหนู และเซลล์เหล่านี้ เลี้ยงยาก ตายง่าย ไม่สามารถเก็บรักษาไว้ในบรรจุภัณฑ์ต่างๆ เมื่อได้เซลล์จำนวนมากพอ จึงนำมาใช้รักษาผู้ป่วยได้ ทั้งนี้ส่วนใหญ่เมื่อเก็บเซลล์ต้นกำเนิดจากเลือดโดยใช้ยากระตุ้นมักเก็บเซลล์ได้ในปริมาณมากพอจนไม่จำเป็นต้องนำเซลล์มาเพาะเลี้ยงเพื่อเพิ่มปริมาณก่อนนำไปใช้ ในปัจจุบันการใช้เซลล์ต้นกำเนิดเพื่อการรักษาโรคเป็นการรักษามาตรฐานเพียงโรคทางโลหิตวิทยาเท่านั้น โดยส่วนใหญ่ใช้ในการรักษามะเร็งเม็ดโลหิต หรือภาวะโลหิตจางจากโรคธาลัสซีเมีย
ทั้งนี้มีการศึกษาวิจัยเพื่อใช้เซลล์ต้นกำเนิดในการรักษาโรคต่างๆมากมาย อาทิ โรคหัวใจ โรคตับ โรคไต อย่างไรก็ดี ตราบจนปัจจุบันการศึกษาวิจัยเหล่านี้ไม่สามารถแสดงให้เห็นว่าการใช้เซลล์ต้นกำเนิดก่อให้เกิดประโยชน์ได้ผลสม่ำเสมอในผู้ป่วยทุกราย ดังนั้นนอกจากโรคทางโลหิตวิทยา การใช้เซลล์ต้นกำเนิดเพื่อรักษาถือเป็นการวิจัยทั้งสิ้น โดยการรักษาเหล่านี้จะต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการวิจัยและจริยธรรมฯ ก่อนว่ามีความเหมาะสมที่จะวิจัย ตลอดจนจะต้องได้รับคำยินยอมจากผู้ป่วยเป็นลายลักษณ์อักษร แสดงความจำนงว่าจะเข้าร่วมการศึกษาวิจัย โดยทราบผลดีผลเสียที่ได้จากการวิจัย และผู้ป่วยจะต้อง ไม่เสียค่าใช่จ่ายในการเข้าร่วมโครงการวิจัยดังกล่าว ทั้งนี้ยังไม่มีการศึกษาวิจัยที่ได้มาตรฐานสำหรับการใช้เซลล์ต้นกำเนิดในด้านผิวหนัง ความงาม และชลออายุ การทำการรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิดนอกจากโรคทางโลหิตวิทยาจะถูกควบคุมด้วยข้อบังคับแพทยสภาว่าด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม เรื่อง การปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเพื่อการรักษา พ.ศ. ๒๕๕๒ หากมีผู้ใดชักชวนให้ท่านรับการรักษาด้วยเซลล์ต้นกำเนิดในโรคที่ไม่ใช่ทางโลหิตวิทยา กรุณาแจ้งมาที่แพทยสภาเพื่อจะได้มีการตรวจสอบว่าเป็นการรักษาที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
ด้าน น.อ.นพ.อนุตตร จิตตินันทน์ นายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไตเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญกับคนเรา ปัญหาการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคไตที่สุดท้ายต้องรับการฟอกไตหรือปลูกถ่ายไตถือเป็นการรักษาเพื่อให้ผู้ป่วยมีชีวิตรอด แต่ไม่ใช่การรักษาที่ทำให้โรคไตหายขาด รวมทั้งเป็นการรักษาที่มีข้อจำกัดมากมายทั้งเรื่องของภาวะแทรกซ้อนและคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี จึงมีความพยายามหาทางเลือกอื่นๆ ในการรักษาโรคไตเพื่อหลีกเลี่ยงการฟอกไตและปลูกถ่ายไต
การรักษาโดยใช้สเต็มเซลล์หรือเซลล์ต้นกำเนิดถือเป็นอีกความหวังของการรักษาเพื่อฟื้นฟูการทำงานของไตทั้งในผู้ป่วยไตวายเฉียบพลัน และโรคไตเรื้อรัง อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไตเป็นอวัยวะขนาดใหญ่ที่มีความซับซ้อนโดยโครงสร้างพื้นฐานและหน่วยทำงานพื้นฐานประกอบด้วยเซลล์หลายชนิดที่มีความแตกต่างกัน แต่ต้องทำงานสอดคล้องกันให้ได้เป็นอย่างดี โดยมีการจัดระเบียบของแต่ละเซลล์อย่างเป็นระบบจนรวมกันเป็นอวัยวะ การใช้สเต็มเซลล์เพื่อรักษาโดยการฉีดเข้าไปในเนื้อไตจึงไม่อาจทำนายได้ว่าเซลล์นั้นจะพัฒนากลายเป็นเซลล์ชนิดใดของหน่วยไต และทำงานเข้ากับระบบเดิมหรือไม่ การรักษาด้วยสเต็มเซลล์จึงมีข้อจำกัดมาก ทั้งการบริหารเข้าสู่ร่างกายด้วยวิธีอื่นนอกเหนือจากการฉีดเข้าไปในเนื้อไตโดยตรงก็จะไม่ได้ผล เพราะเซลล์ที่ให้เข้าไปจะไปติดอยู่ที่รูกรองของหน่วยไต จึงเป็นข้อจำกัดสำหรับการรักษาด้วยสเต็มเซลล์ในโรคไตหลายๆ ชนิด
จากปัญหาดังกล่าวทำให้การวิจัยในสัตว์ทดลองและในมนุษย์โดยใช้สเต็มเซลล์ที่มีต้นกำเนิดต่างๆ กันในโรคไตชนิดต่างๆ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันพบว่าไม่ได้ผลหรือได้ผลที่ไม่ดีนักเป็นส่วนใหญ่ รวมทั้งมีรายงานการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา ดังนั้นในปัจจุบันการรักษาโดยการให้สเต็มเซลล์เข้าไปในตัวผู้ป่วยโรคไตจึงยังไม่ได้รับการยอมรับในวงการแพทย์ให้เป็นการรักษามาตรฐาน การใช้สเต็มเซลล์ในผู้ป่วยโรคไตจึงเป็นเพียงงานระดับวิจัยที่ต้องผ่านการพิจารณาจากกรรมการจริยธรรมของแพทยสภาเท่านั้น
ด้าน รศ.พญ.นาราพร ประยูรวิวัฒน์ อุปนายกสมาคมประสาทวิทยาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เซลล์ของระบบประสาทจัดว่ามีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงจากเซลล์ต้นกำเนิดไปมากที่สุดในร่างกาย ตำแหน่งต่างๆ ของสมองมีหน้าที่จำเพาะที่จะควบคุมการทำงานของร่างกาย การทำงานของเซลล์ ระบบประสาทต้องอาศัยระบบเครือข่ายมากมาย มีความซับซ้อนสูง การควบคุมหลักเกิดที่สมองใหญ่ ทั้งซ้ายและขวาผ่านลงมาทางก้านสมองมาสู่ไขสันหลังที่ทอดยาวลงมาในกระดูกสันหลัง จากไขสันหลังจะมีการส่งแขนงประสาทไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย เช่น ไปกล้ามเนื้อมัดต่างๆ
ดังนั้นถ้าจะรักษาโรคทางระบบประสาทให้ได้ผล สเต็มเซลล์ที่ใส่เข้าไปแต่ละตัว จะต้องเข้าไปทดแทนในตำแหน่งที่ถูกต้อง และยังต้องมีการเชื่อมประสานกับกลุ่มเซลล์อื่นๆอีก เป็นจำนวนมากเพื่อให้ทำงานได้ผล นอกจากนี้การส่งให้เสต็มเซลล์เข้าไปแล้ว ยังต้องมีวิธีรักษาให้เซลล์ใหม่ที่ใส่เข้าไปนี้ยังคงทนอยู่ได้ในตำแหน่งนั้นๆ และทำงานต่อไปได้เป็นเวลานาน การศึกษาทดลองใช้สเต็มเซลล์ในการรักษาโรคทางระบบประสาทที่สำคัญ ได้แก่ กลุ่มโรคที่เกิดจากการเสื่อมของระบบประสาท เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน โรคเซลล์ประสาทคุมกล้ามเนื้อเสื่อม (โรคมอเตอร์นิวโรน) โรคหลอดเลือดสมองอุดตัน โรคปลอกประสาทอักเสบ (เอ็มเอส) ภาวะอุบัติเหตุต่อไขสันหลัง ขณะนี้การรักษาโรคทางระบบประสาทดังกล่าวด้วยสเต็มเซลล์ ยังอยู่ในขั้นศึกษาวิจัยในหลอดทดลอง หรือเริ่มศึกษาวิจัยกับหนูทดลอง ซึ่งบางรายงานแสดงว่าได้ผลดีและน่าจะเป็นประโยชน์ แต่ผลสำเร็จเบื้องต้นในหลอดทดลองหรือแม้แต่ในสัตว์ทดลองไม่ได้รับประกันว่าจะได้ผลในผู้ป่วยด้วย เนื่องจากสมองของมนุษย์ มีความซับซ้อนกว่าสัตว์ทดลองมาก จึงต้องมีการทดลองในสัตว์จนแน่ใจว่าได้ผลดี ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนและอยู่ได้นาน จึงจะเริ่มมาทำการวิจัยในผู้ป่วย ก่อนจะสรุปผลว่าสเต็มเซลล์สามารถใช้รักษาโรคนั้นๆ ได้จริง