MIT เอาชนะฮาร์วาร์ดและเคมบริดจ์ รักษาแชมป์มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของโลก ในรายงานผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยยอดเยี่ยมของโลกประจำปีครั้งที่ 10 ของ QS (QS World University Rankings)
(โลโก้: http://photos.prnewswire.com/prnh/20130909/638188 )
มหาวิทยาลัยของสหรัฐติด 20 อันดับแรกถึง 11 แห่ง แต่ความโดดเด่นนั้นลดลงนับตั้งแต่ที่เกิดวิกฤติการเงินขึ้น โดยในบรรดามหาวิทยาลัยสหรัฐ 83 แห่งที่ติด 400 อันดับแรก มีถึง 64 แห่งที่อันดับลดลงจากปี 2550/51
มหาวิทยาลัยของรัฐบาลสหรัฐ 43 แห่งที่ติด 400 อันดับแรก มีอันดับลดลง 20 อันดับโดยเฉลี่ย นับตั้งแต่ปี 2550/51 หลังจากที่รัฐบาลได้ปรับลดงบประมาณสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
ในทางกลับกัน 70% ของสถาบันการศึกษาในเอเชีย 62 แห่งที่ติด 400 อันดับแรกนั้น มีอันดับสูงกว่าปี 2550 อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีสถาบันการศึกษาในเอเชียที่ติด 20 อันดับแรก
ข้อมูลน่าสนใจในระดับโลก:
- มหาวิทยาลัยที่ติด 100 อันดับแรก มีนักศึกษาจากนานาชาติเพิ่มขึ้น 9%
- มหาวิทยาลัย 10 อันดับแรกที่มีผู้นำผลงานวิจัยไปอ้างอิงมากที่สุด เป็นมหาวิทยาลัยของสหรัฐทั้งหมด
- มีผู้ร่วมตอบแบบสำรวจมากเป็นประวัติการณ์ ประกอบด้วยนักวิชาการ 62,094 ราย และนายจ้าง 27,957 ราย
- มีมหาวิทยาลัยมากกว่า 800 แห่งที่ถูกจัดอันดับในครั้งนี้
ข้อมูลน่าสนใจในระดับภูมิภาค:
- สหราชอาณาจักร: มีสถาบันการศึกษาติด 10 อันดับแรกอยู่ 4 แห่ง โดยอ็อกซ์ฟอร์ดและเคมบริดจ์คว้าอันดับ 1 และ 2 ในด้านความมีชื่อเสียงในหมู่นายจ้าง
- ออสเตรเลีย: มหาวิทยาลัยเมลเบิร์น (31) ตามหลัง ANU (27) เพียงไม่กี่อันดับ
- เอเชีย: มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (24) เฉือนชนะมหาวิทยาลัยฮ่องกง (26)
- แคนาดา: มหาวิทยาลัยโตรอนโต (17) ทำอันดับแซงหน้ามหาวิทยาลัยแมคกิลล์ (21)
- ยุโรป: ETH Zurich (12) และ EPFL Lausanne (19=) ทำอันดับดีที่สุด ขณะที่มหาวิทยาลัยชั้นนำ 9 ใน 10 แห่งของภูมิภาคยังคงรักษาอันดับเดิมหรือมีอันดับดีขึ้น
- ประเทศกลุ่มนอร์ดิค: มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน (45) มีอันดับดีสุด ขณะที่มหาวิทยาลัย 20 แห่งในภูมิภาคมีอันดับสูงขึ้น
- ละตินอเมริกา: มหาวิทยาลัยเซาเปาโล (127) มีอันดับดีสุด ขณะที่มหาวิทยาลัยชั้นนำ 9 ใน 10 แห่งของภูมิภาคมีอันดับสูงขึ้น
- แอฟริกา/ตะวันออกกลาง: มีมหาวิทยาลัยที่ติด 800 อันดับแรกทั้งหมด 33 แห่ง นำโดยมหาวิทยาลัยคิง ฟาฮัด (216)
มหาวิทยาลัยยอดเยี่ยม 10 อันดับแรก
2556 2555 สถาบัน
1 1 MASSACHUSETTS INSTITUTE OF TECHNOLOGY สหรัฐอเมริกา
2 3 HARVARD UNIVERSITY สหรัฐอเมริกา
3 2 UNIVERSITY OF CAMBRIDGE สหราชอาณาจักร
4 4 UNIVERSITY COLLEGE LONDON สหราชอาณาจักร
5 6 IMPERIAL COLLEGE LONDON สหราชอาณาจักร
6 5 UNIVERSITY OF OXFORD สหราชอาณาจักร
7 15 STANFORD UNIVERSITY สหรัฐอเมริกา
8 7 YALE UNIVERSITY สหรัฐอเมริกา
9 8 UNIVERSITY OF CHICAGO สหรัฐอเมริกา
10= 10 CALIFORNIA INSTITUTE OF TECHNOLOGY สหรัฐอเมริกา
10= 9 PRINCETON UNIVERSITY สหรัฐอเมริกา
(c)QS Quacquarelli Symonds http://TopUniversities.com/Rankings2013
คณะผู้วิจัยระบุว่า มาตรการรัดเข็มขัดที่มีการนำมาใช้ในยามภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ส่งผลให้นักศึกษาในสถาบันการศึกษาชั้นนำเผชิญ “วิกฤติด้านค่าเล่าเรียน”
ทั้งนี้ ค่าธรรมเนียมการศึกษาระดับปริญญาตรีโดยเฉลี่ยต่อปีของมหาวิทยาลัย 10 อันดับแรกได้เพิ่มขึ้นทำสถิติสูงสุดที่ประมาณ 34,000 ดอลลาร์สหรัฐ [1] หรือเกือบสองเท่าของค่าเล่าเรียนเฉลี่ยในปี 2550 ที่ 18,500 ดอลลาร์สหรัฐ
นายเบน โซว์เตอร์ ผู้อำนวยการวิจัยของ QS กล่าวว่า “งบประมาณสนับสนุนการศึกษาในมหาวิทยาลัยรัฐที่ลดลง และอิทธิพลของสถาบันการศึกษาของเอกชนที่เพิ่มขึ้นหมายความว่า มีความเสี่ยงที่นักศึกษาจำนวนมากจะไม่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนเพื่อเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษาระดับเวิลด์คลาสได้”
[1] ไม่รวมทุนการศึกษา และค่าใช้จ่ายอื่นๆ
แหล่งข่าว: คิวเอส แคว็คควอเรลลิ ไซมอนด์ส (QS Quacquarelli Symonds)