เฮย์กรุ๊ป เผยหลักขับเคลื่อนองค์กร เพื่อเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง

จันทร์ ๑๖ กันยายน ๒๐๑๓ ๑๐:๑๕
วันที่ 11 กันยายน บริษัท เฮย์กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหารองค์กรระดับโลก ได้จัดงานสัมมนา “ขับเคลื่อนองค์กร เตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง” (Riding the Wave of Change) ขึ้นที่โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ภายในงาน คุณบัณฑิต จำรัสธรางกูล ที่ปรึกษาอาวุโส บริษัท เฮย์กรุ๊ป ประเทศไทย พร้อมด้วยวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ กัปตัน วรเนติ หล้าพระบาง กรรมการผู้จัดการหน่วยธุรกิจการบินไทยสมายล์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ คุณสุมาลี พรหมบุรี ผู้อำนวยการสายการบริหารทรัพยากรบุคคลกลาง บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ โรงพยาบาลกรุงเทพ ได้มาแบ่งปันแนวคิดและประสบการณ์แก่ผู้บริหารในองค์กรชั้นนำในเมืองไทย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้องค์กรพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดในอนาคตได้

ผลการศึกษาล่าสุดของบริษัท เฮย์กรุ๊ป ได้จำแนก Mega Trends หรือแนวโน้มสำคัญที่ส่งผลกระทบกับการบริหารบุคลากรไว้ 3 อย่างด้วยกัน ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงด้านประชากร การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการทำงานในยุคดิจิตอล และการให้ความสำคัญกับความเป็นปัจเจกบุคคล ในเรื่องการปลี่ยนแปลงด้านประชากรนั้น เนื่องด้วยอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรที่ต่ำลงอย่างต่อเนื่องทำให้ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ อีกทั้งการเปิดเสรี AEC ที่ทำให้ตลาดแรงงานสามารถหมุนเวียนและโยกย้ายได้อย่างเสรี จึงส่งผลให้เกิดการแย่งชิงผู้ที่มีความสามารถรุนแรงมากขึ้น นอกจากนั้นการเข้ามาสู่วัยทำงานของพนักงานรุ่นใหม่ หรือ เจนเนอร์เรชั่นวาย (Generation Y) ซึ่งถือเป็นกลุ่มคนที่ได้รับการศึกษาสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นอื่นๆ อีกทั้งยังนับได้ว่ามีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีมากุที่สุด ก็ได้เปลี่ยนค่านิยมในการทำงานไปจากเดิม โดยพนักงานรุ่นใหม่นี้มีความคาดหวังที่สูงกว่ารุ่นก่อนๆ ทั้งในเรื่องเงินเดือนและค่าตอบแทน โอกาสการเติบโตในหน้าที่การงาน การพัฒนาความสามารถของตนเอง รวมไปถึงความต้องการอิสระและการแสดงความเป็นตัวของตัวเองในการทำงาน สิ่งเหล่านี้ได้สร้างความท้าทายต่อแนวคิดในความจงรักภักดีต่อองค์กรแบบเดิมๆ เพราะวิถีชีวิตและการทำงานของพนักงานยุคใหม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมาก

ในประเทศไทย พนักงานที่เป็นกลุ่มเจนเนอร์เรชั่นวายมีจำนวนประมาณร้อยละ 30 ของจำนวนแรงงานทั้งหมด เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว องค์กรควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับทัศนคติในการทำงาน ความคาดหวัง และพฤติกรรมที่แตกต่างจากเดิมของพนักงานรุ่นใหม่นี้ การศึกษาของบริษัท เฮย์กรุ๊ป เรื่อง “ทัศนคติในการทำงานของพนักงานเจนวาย” ได้เปลี่ยนแนวคิดติดลบขององค์กรที่มีคนรุ่นใหม่ออกไป จากเดิมพนักงานรุ่นใหม่มักถูกมองว่าไม่ขยันทำงาน ไม่เคารพเชื่อฟังผู้อาวุโส และไม่มีความรับผิดชอบกับงาน แต่จากผลการศึกษากลับพบว่าอันที่จริงแล้วพนักงานเจนเนอร์เรชั่นวายนี้ก็ทำงานหนักเช่นเดียวกับพนักงานรุ่นอื่นๆ แต่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการทำงานสูง เช่น การจัดตารางการทำงานโดยให้อิสระกับพนักงานแต่ละคนในการเลือกเวลาทำงานได้ เป็นต้น และเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ทางบริษัท เฮย์กรุ๊ป จึงได้ให้คำแนะนำ เพื่อที่องค์กรต่างๆ จะสามารถนำไปปรับใช้เพื่อนำเอาศักยภาพของกลุ่มคนเหล่านี้ออกมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนี้

1. ใช้ระบบการพัฒนาสายอาชีพเป็นกลยุทธ์ในการรักษาและพัฒนาผู้ที่มีศักยภาพสูง

ระบบการบริหารจัดการสายอาชีพ (Career Development System) มีบทบาทสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆโดยฉพาะกับพนักงานรุ่นใหม่ เนื่องจากความก้าวหน้าในสายอาชีพของคนกลุ่มนี้จะสะท้อนถึงจุดมุ่งหมายและความสำเร็จในชีวิตในแบบของตนเอง (Individualism) อีกด้วย แนวคิดเรื่องสายอาชีพแบบเดิมๆ ซึ่งส่วนมากคือการพัฒนาแบบเลื่อนขั้นบันไดสู่ก้าวที่สูงขึ้นอาจไม่สามารถตอบสนองโจทย์ของคนรุ่นใหม่เหล่านี้ได้ ระบบการบริหารจัดการสายสายอาชีพแบบใหม่ควรจะสามารถให้พนักงานสามารถพัฒนาได้ในหลายทิศทาง ทั้งในแนวตั้งและแนวนอน เช่น การเติบโตพัฒนาข้ามหน่วยงาน เป็นต้น ทั้งนี้ระบบการบริหารจัดการสายสายอาชีพควรมี เกณฑ์การประเมิน (Assessment Criteria) ที่มีประสิทธิภาพเพื่อรองรับกับระบบการบริหารจัดการสายอาชีพที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

2. การบริหารบุคลากรรุ่นใหม่

เพื่อให้ระบบการบริหารจัดการสายอาชีพ (Career Development System) มีประสิทธิภาพสูงสุด องค์กรควรให้ความสำคัญกับการกำหนดและมอบหมายหน้าที่ของการเป็นโค้ช หรือผู้ฝึกสอนงานอย่างเป็นระบบและจริงจัง คนรุ่นใหม่ต้องการความเอาใจใส่และการ feedback อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการพัฒนาโอกาสในหน้าที่การงาน ซึ่งไม่มีอะไรสามารถแทนที่การสอนงาน (Coaching) ในการฝึกการปฏิบัติงานจริง (On-the-job) ได้ อีกทั้งการมอบหมายงานที่ท้าทายให้แก่พนักงานโดยมีผู้นำคอยประเมินผลงานนั้น ยังทำให้องค์กรสามารถบริหารและส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้ที่มีความสามารถได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นผู้นำที่ดีต้องรู้จักใช้ลักษณะความเป็นผู้นำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการบริหารพนักงานรุ่นใหม่ เช่น รับฟังความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่มากกว่าการออกคำสั่ง ให้ความสำคัญกับความร่วมมือกันมากกว่าความเป็นเผด็จการ และให้ความเป็นอิสระในตนเองและความยืดหยุ่นเมื่อมีโอกาสที่เหมาะสมอีกด้วย

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ