จากที่พบว่ามีการลักลอบจำหน่ายสินค้าอันตรายบริเวณหน้าโรงเรียนหลายแห่ง ซึ่งเป็นสินค้าอันตรายที่ทาง สคบ.มีคำสั่งห้ามขาย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ได้มอบหมายให้ สคบ. ดำเนินการตรวจสอบเรื่องนี้โดยเร่งด่วน ทาง สคบ.จึงได้จัดทำเป็นแผนปฏิบัติการพิเศษเฉพาะกิจ “โครงการตรวจสอบความปลอดภัยสินค้าหน้าโรงเรียน” ขึ้นมา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบการลักลอบขายสินค้าอันตรายตามสถานศึกษาต่างๆ ให้สามารถทำได้อย่างทั่วถึงและครอบคลุม เป็นการคุ้มครองผู้บริโภคทั้งเยาวชนและผู้ปกครองให้ได้รับความปลอดภัยจากการสินค้ากล่าว
นายจิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคกล่าวว่าสินค้าอันตรายที่ทางสคบ. มีคำสั่งห้ามขายไม่ว่าจะเป็นตัวดูดน้ำ ลูกโป่งวิทยาศาสตร์ ปืนอัดลมที่เลียนแบบอาวุธจริง ลวดดัดฟันแฟชั่น ของเล่นที่เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าช็อตสำหรับแกล้งคน ฯลฯ หากพบว่ามีผู้กระทำฝ่าฝืนคำสั่งดังกล่าวจะมีบทลงโทษตามกฎหมาย กรณีที่เป็นผู้ลักลอบจำหน่ายสินค้าอันตราย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถ้าเป็นผู้ผลิตหรือเป็นผู้สั่งหรือนำเข้าต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เนื่องจากทาง สคบ.ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำการตรวจสอบแล้วพบว่าสินค้าเหล่านี้บางชนิดก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย และบางชนิดอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตได้
แต่ที่ผ่านมายังพบว่ามีการลักลอบขายสินค้าอันตรายดังกล่าวบริเวณหน้าโรงเรียนหลายแห่ง ซึ่งมีทั้ง ตัวดูดน้ำ ลูกโป่งวิทยาศาสตร์ และอุปกรณ์ไฟฟ้าช็อตสำหรับแกล้งคน รวมถึงของเล่นอื่นๆ ที่ไม่ได้มาตรฐาน และที่พบเห็นได้มากและบ่อยที่สุดคือ “อาหารสุ่มเสี่ยง” อาทิ อาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ ลูกชิ้น ไส้กรอก และขนมที่มีสีฉูดฉาดที่คาดว่าอาจมีการใส่สีสังเคราะห์ เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคทั้งเยาวชนและผู้ปกครองให้ได้รับความปลอดภัย และได้รับความเป็นธรรมจากการซื้อสินค้าที่มีการวางขายหน้าโรงเรียน ทางสคบ.ได้จัดทำเป็นแผนปฏิบัติการพิเศษเฉพาะกิจ “โครงการตรวจสอบความปลอดภัยสินค้าหน้าโรงเรียน” ขึ้น และเมื่อประมาณเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สคบ.ได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งได้แก่ อย. (สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา), สมอ. (สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม) และบก.ปคบ. (กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค) รวมทั้งเจ้าหน้าที่จังหวัดเจ้าของพื้นที่ ลงพื้นที่ออกตรวจสอบสินค้าอันตรายที่อาจจะมีการแพร่หลายและลอบจำหน่ายบริเวณหน้าโรงเรียนในจังหวัดนนทบุรี ได้แก่ โรงเรียนเทพประธานพร โรงเรียนอนุบาลนนทบุรี และโรงเรียนรัตนาธิเบศร์
เลขาธิการ สคบ. กล่าวต่อว่า “โครงการตรวจสอบความปลอดภัยสินค้าหน้าโรงเรียน” ที่จัดขึ้นนี้ จะมีการดำเนินงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและสถานศึกษา ด้วยการขอความร่วมมือให้เป็นเครือข่ายเฝ้าระวัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบการลักลอบขายสินค้าอันตรายตามสถานศึกษาต่างๆ ให้สามารถทำได้อย่างครอบคลุม พร้อมทั้งได้ทำหนังสือส่งไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดทั่วประเทศ ให้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบการจำหน่ายสินค้าขึ้นมา เพื่อจัดทีมลงพื้นที่ออกไปสุ่มตรวจสินค้าที่จำหน่ายบริเวณหน้าโรงเรียนในแต่ละจังหวัดที่น่าสงสัยว่าจะเป็นสินค้าอันตรายต่อเด็กนักเรียน เช่น ของเล่นอันตรายที่ไม่มีคุณภาพ อาหาร และขนมขบเคี้ยว รวมถึงสินค้าต้องห้ามที่ สคบ.ได้สั่งห้ามจำหน่ายไปก่อนหน้านี้ เพราะที่ผ่านมาได้รับการร้องเรียนจากผู้ปกครองหลายรายว่าเห็นสินค้าดังกล่าวถูกลักลอบจำหน่ายเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังได้ทำการรณรงค์ให้ความรู้ความเข้าใจแก่พ่อค้า แม่ค้า เด็ก ผู้ปกครอง ครู และอาจารย์ ถึงอันตรายของสินค้าดังกล่าวด้วย
“ผู้ใดพบเห็นการลักลอบจำหน่ายสินค้าอันตรายที่ทาง สคบ.มีคำสั่งห้ามขายไม่ว่าจะเป็นหน้าโรงเรียนหรือสถานที่อื่นๆ ขอให้แจ้งไปที่ สคบ.โดยสามารถร้องเรียนผ่านช่องทางต่างๆ ทั้งทางระบบร้องเรียนออนไลน์ที่ www.ocpb.go.th ทางไปรษณีย์ที่สามารถขอแบบฟอร์มร้องทุกข์ได้จากเซฟเว่นอีเลฟเว่น เทสโก้โลตัส บิ๊กซี ร้านจิฟฟี่ในปั๊ม ปตท. ห้างแฟชั่นไอส์แลนด์ หรือที่คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจำจังหวัดในจังหวัด ที่ว่าการอำเภอ เทศบาล อบต. ที่ท่านอาศัยอยู่ทุกจังหวัด รวมถึงศูนย์ กศน. ตำบล หรือปรึกษาปัญหาข้อสงสัยได้ที่ สายด่วน สคบ. 1166 เพื่อความปลอดภัยของลูกหลานของท่านเอง” เลขาธิการ สคบ.กล่าวทิ้งท้าย