5 จังหวัดเสี่ยงลุ่มเจ้าพระยา ตื่นตัวทำประกันภัยพิบัติ

พุธ ๑๖ ตุลาคม ๒๐๑๓ ๑๔:๑๐
5 จังหวัดในพื้นที่เสี่ยงตามประมาณการของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ (กองทุนฯ) บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาตื่นตัวทำประกันภัยพิบัติ โดยมีทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ รวม 23,074 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 48.67 เมื่อเทียบกับทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ ทั้งประเทศ สะท้อนบทบาทของกองทุนฯ ในการคุ้มครองทรัพย์สินและกิจการในพื้นที่ต่างๆ ของประเทศไทย

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ เปิดเผยว่า สถิติการทำประกันภัยพิบัติในช่วงวันที่ 28 มีนาคม 2555 - 20 กันยายน 2556 ของ 5 จังหวัดที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงตามประมาณการของกองทุนฯ บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ปทุมธานี นครปฐม นนทบุรี และกรุงเทพฯ มีความตื่นตัวในการทำประกันภัยพิบัติในระดับสูง ซึ่งทั้ง 5 จังหวัดมีทุนประกันภัยต่อ ตามสัดส่วนของกองทุนฯ รวม 21,757 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 48.65 เมื่อเทียบกับทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ ทั้งประเทศ จำนวน 44,719 ล้านบาท

โดยจังหวัดในพื้นที่เสี่ยงที่มีทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ สูงที่สุดคือกรุงเทพฯ จำนวน 13,793 ล้านบาท รองลงมาได้แก่ นนทบุรี จำนวน 2,650 ล้านบาท ปทุมธานี จำนวน 2,492 ล้านบาท พระนครศรีอยุธยา จำนวน 1,949 ล้านบาท และนครปฐม จำนวน 874 ล้านบาท

นอกจากนั้น กรุงเทพฯ ยังมีทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ ในส่วนของผู้ทำประกันภัยทั้ง 3 ประเภทสูงที่สุด ได้แก่ บ้านอยู่อาศัย จำนวน 9,727 ล้านบาท ธุรกิจขนาดกลางและย่อม จำนวน 1,796 ล้านบาท และอุตสาหกรรม จำนวน 2,270 ล้านบาท ในขณะที่จังหวัดนนทบุรีมีทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ ประเภทบ้านอยู่อาศัยสูงเป็นอับดับสอง จำนวน 2,217 ล้านบาท จังหวัดปทุมธานี มีทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ ประเภทธุรกิจขนาดกลางและย่อมสูงเป็นอันดับสอง จำนวน 356 ล้านบาท และจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีทุนประกันภัยต่อตามสัดส่วนของกองทุนฯ ประเภทอุตสาหกรรมสูงเป็นอันดับสอง จำนวน 1,499 ล้านบาท

จากข้อมูลดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงบทบาทที่สำคัญของกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติในการสร้างหลักประกันให้กับทรัพย์สินและกิจการในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากอุทกภัย และพื้นที่ดังกล่าวยังมีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย โดยจะเห็นได้จากเมื่อเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2554 ได้สร้างความเสียหายให้แก่โรงงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาและจังหวัดปทุมธานีหลายแห่ง ซึ่งประกอบด้วย นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค นิคมอุตสาหกรรมบางปะอิน นิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร สวนอุตสาหกรรมโรจนะ นิคมอุตสาหกรรมนวนคร และสวนอุตสาหกรรมบางกระดี

“พื้นที่ดังกล่าวเป็นแหล่งผลิตชิ้นส่วนและวัตถุดิบที่สำคัญของอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม ผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก เป็นต้น ดังนั้น การสร้างหลักประกันเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินและกิจการเมื่อประสบภัยพิบัติ จึงไม่ใช่เป็นการช่วยเหลือเฉพาะภาคเอกชนแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจของ ประเทศ และเป็นปัจจัยผลักดันให้นักลงทุนต่างชาติยังคงตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยและขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง” นายพยุงศักดิ์ฯ กล่าว

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version