วันนี้ บริษัท ฟิลเตอร์ วิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FVC เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรก โดยเปิดตลาดที่ระดับ 3.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.30 บาท หรือ 191.67% จากราคาไอพีโอที่ 1.20 บาทต่อหุ้น และระหว่างวันได้ปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 3.58 บาท และปิดตลาดที่ระดับ 2.74 บาท เพิ่มขึ้น 1.54 บาท หรือ 128.33% จากราคาจอง และมีมูลค่าการซื้อขายรวม 477.45 ล้านบาท
ดร.วิจิตร เตชะเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟิลเตอร์ วิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ FVC เปิดเผยว่าวันนี้ได้รับการต้อนรับจากนักลงทุนอย่างอบอุ่น เนื่องจากที่ผ่านมากระแสตอบรับในช่วงเปิดขายหุ้นไอพีโอในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จำนวน 59.20 ล้านหุ้น ในราคาเสนอขาย 1.20 บาทต่อหุ้น ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะมองเห็นแนวโน้มในอนาคตธุรกิจของ FVC จะขยายตัวได้อีกมาก จากปริมาณความต้องการของลูกค้ายังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ตามการขยายตัวตามอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai จะทำให้บริษัทมีเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้น มีฐานทุนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทำให้สามารถขยายธุรกิจต่อไปได้มากขึ้น เช่น มีสินค้าหลากหลายขึ้น รวมถึงสามารถขยายธุรกิจไปยังประเทศในกลุ่มอาเซียนได้มากขึ้น จึงขอให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นใน FVC ว่าคณะผู้บริหารและพนักงานทุกคนจะช่วยกันผลักดันธุรกิจให้เติบโตไปข้างหน้าได้อย่างแข็งแกร่ง และสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหุ้นได้
“ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคได้เปลี่ยนไป โดยหันมาให้ความสำคัญกับสินค้าอาหารและเครื่องดื่มที่มีมาตรฐาน ซึ่งการให้ความสำคัญของผู้บริโภคในเรื่องนี้ได้ขยายออกไปในวงกว้าง ส่งผลดีให้บริษัทมีศักยภาพการเติบโตในอนาคต เนื่องจากบริษัทประกอบธุรกิจเกี่ยวข้องกับระบบบำบัดน้ำให้บริสุทธิ์ นอกจากนี้ยังเป็นผู้จัดหาผลิตภัณฑ์และอุปกรณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับระบบบำบัดน้ำให้บริสุทธิ์ เช่นระบบกรองน้ำ ถังกรองไฟเบอร์กลาส หัวกรองน้ำอัตโนมัติ ไส้กรองน้ำ เครื่องฆ่าเชื้อด้วยแสงอัลตร้าไวโอเล็ต และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับระบบกรองน้ำให้บริสุทธิ์ เช่น ตู้นึ่งซาลาเปา เครื่องจ่ายเครื่องดื่ม และเครื่องทำน้ำแข็งเป็นต้น เพื่อรองรับลูกค้า 3 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มธุรกิจเพื่อการพาณิชย์และที่พักอาศัย 2. กลุ่มอุตสาหกรรมและผู้ประกอบการด้านระบบน้ำ และ 3. กลุ่มธุรกิจบริการทางการแพทย์” ดร.วิจิตร กล่าว
นายชูพงศ์ ธนเศรษฐกร กรรมการผู้จัดการสายงานวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน FVC ระบุว่าสาเหตุที่ทำให้สร้างผลงานได้น่าประทับใจ โดยให้ผลตอบแทนมากถึง.... % เป็นเพราะช่วงที่เปิดให้จองซื้อหุ้นปรากฎว่ามีนักลงทุนตอบรับดีเกินคาด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการกำหนดราคาไอพีโอที่น่าดึงดูดใจ เมื่อเปรียบเทียบกับค่า P/E ที่ 11 เท่า ประกอบกับ FVC เป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และในอนาคตลูกค้าหลักในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นดังกล่าว ดังนั้นจึงเชื่อมั่นว่าหุ้น FVC จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่องหลังจากเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ไปแล้ว
สำหรับโครงสร้างการถือหุ้นของ FVC ภายหลังการเสนอขายหุ้นไอพีโอ 5 อันดับแรก คือ 1.ครอบครัวเตชะเกษม ถือหุ้น 77.58% หลังเสนอขายลดเหลือ 54.62% 2. นายศิริพงศ์ ว่องวุฒิพรชัย ถือหุ้น 10.16% หลังเสนอขายลดเหลือ 7.15% 3. นายธนพรรจน์ ตันติวัตนวิจิตร ถือหุ้น 5.78% หลังเสนอขายลดเหลือ 4.07% 4.นายมนตรี ประจันพาณิชย์ ถือหุ้น 4.63% หลังเสนอขายลดเหลือ 3.26% และ 5.นายธีระภัทท์ สอนกลิ่น ถือหุ้น 1.85% หลังเสนอขายลดเหลือ 1.30% สำหรับจำนวนหุ้นไอพีโอที่เสนอขายประชาชนทั่วไปจำนวน 59.20 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนการถือหุ้นใน FVC รวมเท่ากับ 29.60%
นอกเหนือจากพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทแล้ว เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนอีกทางหนึ่ง กลุ่มเตชะเกษมซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมยืนยันว่าจะไม่นำหุ้นในส่วนที่ติด Silent Period มาขายเป็นระยะเวลา 6 เดือน ดังนั้นจึงทำให้นักลงทุนจึงมั่นใจว่ากลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมจะไม่นำหุ้น FVC ออกมาขายในวันแรกที่เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์ mai อย่างแน่นอน