พญ.โสมสราญ วัฒนะโชติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจักษุวิทยา จากมูลนิธิพิทักษ์ดวงตาประชาชน กล่าวว่า ในวงการแพทย์ยืนยันอย่างแน่ชัดแล้วว่าสารกลูต้าไธโอน นั้นไม่ใช่สารที่จะสามารถฉีดเพื่อทำให้เกิดความขาวแก่ผิวหนังได้แต่อย่างใด ซึ่งเกิดจากความเข้าใจแบบผิด ๆ เนื่องจากสารชนิดนี้ถูกใช้ในกลุ่มคนไข้โรคตับอักเสบ โดยให้กลูต้าไธโอนเป็นสารโปรตีนเบื้องต้น ช่วยกระตุ้นการฟอกพิษ ขจัดสารพิษออกจากร่างกาย สารกลูต้าไธโอนจะเป็นตัวช่วยในการซ่อมแซมฟื้นฟูสภาพของเนื้อเยื่อตับและช่วยให้มีภูมิต้านทานดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญระหว่างการใช้
ผลข้างเคียงของกลูต้าไธโอน อาทิ การยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวหรือที่เรียกว่าเมลานิน (Melanin) นี้เองที่ทำให้หลายคนนำมาประยุกต์ในการดูแลผิวพรรณตนเอง แต่รู้หรือไม่ว่าผลข้างเคียงที่ร้ายแรงกว่า ที่ตามมานั้นคือ หากใช้บ่อยมากเกินความจำเป็นจะทำให้อันตรายถึงขั้นตาบอดได้เลยทีเดียว
การฉีดก ลูต้าไธโอนนอกจากจะทำให้เม็ดสีผิวของคนเราที่สร้างมาจากเซลล์สร้างเม็ดสี (เมลาโนไซต์) ในผิวหนัง ลดลงแล้วยังเปรียบเหมือนการลดแผ่นกรองแสงผิวหนัง ที่ทำหน้าที่จับอนุมูลอิสระ หากใช้ไปมากๆ และใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานก็ยิ่งทำให้ภูมิต้านทานของผิวจะลดลง เกิดการระคายเคืองแพ้แสงแดดได้ง่ายขึ้นเสี่ยงต่อการ เป็นมะเร็งผิวหน้าได้ จนกระทั่งส่งผลต่อจอตาที่ทำหน้าที่เปิดรับแสงในการ
มองเห็นซึ่งถ้ารับสารกลูต้าไธโอนเยอะเกินไปจะทำให้จอประสาทตาอักเสบจนถึงขั้นทำให้ตาบอดได้ดังที่กล่าวมาข้างต้นนั่นเอง
ทั้งนี้ คนเราย่อมมีสีผิวที่แตกต่างกันในแต่ละคน ความงามจากภายในคือสิ่งสำคัญที่สุด การใช้สารกลูต้าไธโอนเพื่อทำให้ผิวขาวนั้นก็เป็นเพียงผลชั่วระยะหนึ่งเท่านั้นเมื่อสารหมดฤทธิ์ผิวก็จะกลับมามีสีผิวเหมือนเดิม อีกทั้งยังทิ้งสารตกค้างในร่างกายให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ ตามมาให้กังวลใจ ดังนั้น หากวัยรุ่นไทยอยากสร้างความมั่นใจให้แก่ตนเองก็ควรจะสร้างจากภายในดีกว่า เพียงแค่รู้จักเสียเงิน เสียเวลาให้กับสิ่งที่เกิดประโยชน์สูงสุด อย่างเช่นการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ กินผักผลไม้ วิตามิน บำรุงผิวพรรณให้สดใส ออกกำลังกาย ดื่มน้ำสะอาดเยอะ ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ เพียงเท่านี้ จากร่างกายภายในสุขภาพดีก็จะส่งผลออกมาภายนอกให้ได้เห็นในแบบถาวรกันแล้ว พญ.โสมสราญ กล่าวทิ้งท้าย