นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ นาครทรรพ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที เปิดเผยว่า การจัดการสัมมนาวิชาการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ ผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศนานาชาติ ครั้งที่ 1 และการสัมมนาวิชาการนานาชาติเชิงปฏิบัติการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ของสถาบัน การศึกษา ครั้งที่ 1 ในงาน ITU 2013 ที่จัดโดยสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ หรือ EGA ในครั้งนี้ถือเป็นยุทธศาสตร์หนึ่งที่จะขยับการจัดอันดับของรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ของไทยจากอันดับที่ 20 ของโลกขึ้นไปติดอันดับหนึ่งในสิบได้
ซึ่งการขับเคลื่อนทั้งระบบภาครัฐจะต้องเข้ามาใช้ทรัพยากรส่วนกลางที่จัดวางไว้ ตั้งแต่ระบบคลาวด์คอมพิวติ้งไปจนถึงระบบ Big Data ที่กำลังจะเกิดขึ้น ผสานเข้ากับการสร้างโครงสร้างพื้นฐานอื่น อย่างระบบ Government Information Network หรือ GIN ที่กำลังขยายเข้าสู่หน่วยงานท้องถิ่นมากขึ้น ขณะเดียวกัน ผู้ให้บริการระบบโทรศัพท์มือถือซึ่งได้รับสัมปทานระบบ 3G ก็ยังสามารถวางระบบครอบคลุมพื้นที่ที่มากขึ้น ก็จะส่งผลให้อันดับของประเทศไทยจะขยับขึ้นไปแน่นอน
“การเร่งสร้างกลุ่ม CIO หรือผู้บริหารระบบไอทีภาครัฐ ให้มีความสามารถควบคุมระบบ e-government ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ถือเป็นหนึ่งในหมวดที่ทางผู้จัดอันดับให้ความสำคัญ ซึ่งขณะนี้บุคลากรด้านนี้ของไทยถือว่าเป็นกลุ่มที่มีจำนวนมาก และมีประสิทธิภาพที่ดี” นาวาอากาศเอกอนุดิษฐ์ กล่าว
นายสุรชัย ศรีสารคาม ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยว่า ในภาคปฏิบัติของการขยับอันดับของ e-government ไทยขึ้นสู่หนึ่งในสิบของโลกนั้นคาดว่าภายใน 3 ปี ทางกระทรวงจะ ดำเนินการให้สำเร็จ โดยจะผลักดันปัจจัยต่างๆ ไปพร้อมกันตั้งแต่การใช้ทรัพยากรด้านไอทีแบบรวมศูนย์ หรือ Centralization ผ่านระบบคลาวด์คอมพิวติ้ง และอื่นๆ ซึ่งจากนี้ไปภาคราชการจะไม่สามารถลงทุนในระบบคอมพิวเตอร์ส่วนองค์กรได้เองอีกแล้ว แต่ต้องมาใช้ทรัพยากรส่วนกลางโดยไม่มีการตัดงบประมาณ เท่ากับหน่วยงานต่างๆ สามารถนำงบลงทุนด้านไอทีไปใช้ในส่วนอื่นๆ แทน
นอกจากนั้นการรวมศูนย์ครั้งนี้ยังทำให้การดูแลรักษาความปลอดภัยทำได้ง่ายขึ้น เพราะเป็นการดูแลจากจุดเดียว และทำให้การขยายระบบไปยังส่วนภูมิภาคเกิดประสิทธิภาพผ่านทางศูนย์ไอซีทีชุมชน ทั้งหมดสามารถเกิดขึ้นได้ภายใน 1 ปี
สิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวเร่งให้เกิดขึ้นได้รวดเร็วก็คือ การตั้งกรมทะเบียนกลางให้เกิดขึ้นและใช้งานได้จริง โดยหน่วยงานนี้จะรวบรวมงานทะเบียนจำนวน 91 เรื่องที่มีอยู่ในประเทศไทยเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งนอกจากจะทำให้ประเทศไทยเกิดผู้เชี่ยวชาญในเรื่องระบบทะเบียนแล้วยังสามารถนำระบบทะเบียนทั้งหมดเข้ามาอยู่จุดเดียวทำให้บริการประชาชนได้ง่ายขึ้น โดยในขั้นต้นจะให้เจ้าหน้าที่ของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์เข้ามาสนับสนุนแล้วค่อยโอนย้ายบุคลากรจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาดูแลในที่สุด
ดร. โตชิโอ โอบิ ประธาน IAC, ผู้อำนวยการโครงการจัดลำดับรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลัยวาเซดะ เปิดเผยว่า ในการประชุมครั้งนี้ทางวาเซดะได้เพิ่มดังนีชี้วัดตัวใหม่สำหรับรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ขึ้น จากเดิมใช้ตัวชี้วัดเพียง 7 ชนิด ได้เพิ่มตัวชี้วัดขึ้นอีก 3 ชนิด คือ ระบบ Cyber Security หรือการวางระบบความปลอดภัยโลกไซเบอร์ของภาครัฐ, Open Government หรือรัฐบาลระบบเปิด ซึ่งภาครัฐจะต้องเปิดเผยทั้งข้อมูลและ api ให้ภาคประชาชนเข้าถึงและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ง่ายขึ้น และสุดท้ายคือ การเชื่อมโยงภาครัฐจากส่วนกลางและท้องถิ่นเข้าหาพื้นที่ในส่วนต่างๆ ให้มากขึ้น
จากการเริ่มต้นของสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ หรือ EGA ของประเทศไทย ในการทำระบบคลาวด์คอมพิวติ้งและอื่นๆ จะทำให้ไทยเข้าสู่ระบบรวมศูนย์กลาง ส่งผลให้การควบคุมระบบความปลอดภัยทำได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันก็มีการเริ่มทำระบบ Open Government ซึ่งจะเห็นผลให้ปีหน้า รวมถึงการต่อ เชื่อมระบบ GIN กลายเป็น Super GIN และการใช้ศูนย์ไอซีทีเป็นตัวกระจายความรู้ใหม่ ก็จะทำให้ตัวชี้วัดเหล่านี้มีผลในทางที่ดีขึ้น