“จากการที่คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 2.25% ซึ่งสวนทางกับตลาดที่มองว่าจะคงดอกเบี้ยไว้ และยังได้ปรับลดประมาณการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีนี้ลงมาอยู่ที่ 3% จากเดิมซึ่งคาดไว้ที่ 3.7% โดยเป็นผลมาจากการที่การส่งออกซึ่งเคยคาดว่าจะขยายตัวในช่วงไตรมาสสุดท้ายและเป็นตัวช่วยพยุงการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย กลับยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปัจจัยเสี่ยงทางด้านการเมืองในช่วงนี้น่าจะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กดดันอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายนี้ ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยได้มีการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และแนะนำให้ผู้ลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ต่ำ มีการกระจายความเสี่ยงโดยเลือกลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศประเภทกำหนดอายุโครงการ ซึ่งยังคงสามารถรักษาระดับผลตอบแทนได้ดีเมื่อเปรียบเทียบกับผลตอบแทนจากการลงทุนในตราสารหนี้ภายในประเทศ” นางสาวยุพาวดีกล่าว
นางสาวยุพาวดีกล่าวต่อว่า เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในระยะสั้น ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ บลจ.กสิกรไทยยังเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน ดีพี (KFI3MDP) โอกาสรับผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.95% ต่อปี และกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เอยู (KFF6MAU) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 3.20% ต่อปี สำหรับกองทุน KFI3MDP ซึ่งมีอายุกองทุนประมาณ 3 เดือน จะเข้าลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation และ Standard Chartered Bank, สาขาฮ่องกง ด้วยเช่นเดียวกัน รวมทั้งยังลงทุนในตราสารหนี้ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน)(A/TRIS), ตั๋วแลกเงินบริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน) (A+/TRIS), และ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก Fitch ประเทศไทย ที่ระดับ A+ ด้านกองทุน KFF6MAU ซึ่งมีอายุกองทุนประมาณ 6 เดือน จะเข้าลงทุนในเงินฝาก China Construction Bank Corporation และ Standard Chartered Bank, สาขาฮ่องกง ด้วยเช่นเดียวกัน รวมทั้งยังลงทุนในตราสารหนี้ Garanti Bank, ตราสารหนี้ Yapi Kredi Bankasi A.S., ประเทศตุรกี และตราสารหนี้ BTG Investments LP ที่รับประกันโดย BTG Pactual Holding S.A., ประเทศบราซิล ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก Fitch Ratings ที่ BBB-, BBB และ BBB- ตามลำดับ นอกจากนี้ยังมีการลงทุนเพิ่มเติมในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
นอกจากนี้ เพื่อตอบรับความต้องการสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำมากและต้องการ ลงทุนระยะสั้นกับตราสารหนี้ในประเทศเป็นหลักในช่วงเวลาเดียวกัน บลจ.กสิกรไทยจะเปิดขายกองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือน ดีเจ (KPPTF3MDJ) โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และบางส่วนในเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะให้โอกาสรับผลตอบแทนปลอดภาษีสำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่ 2.45% ต่อปี
ผู้ที่สนใจสามารถลงทุนกับกองทุน KFI3MDP, KFF6MAU, KFF2YD และ KPPTF3MDJ ได้ด้วยเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888