นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารฝ่ายปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า บริษัทได้เดินหน้าเปิดตัวโรงงานพรีคาสท์ที่ 2 ภายใต้พื้นที่โรงงานประมาณ 17 ไร่ มูลค่าการลงทุนประมาณ 160 ล้านบาทซึ่งมีจุดเด่นในด้าน การลดการพึ่งพาแรงงาน – การควบคุมคุณภาพ – และการควบคุมระยะเวลาในการก่อสร้างได้ดียิ่งขึ้น จากที่บริษัทประสบความสำเร็จในการพัฒนาโรงงานพรีคาสท์ในเฟสแรกหรือโรงงานแรก ซึ่งใช้ในการผลิตชิ้นส่วนสำหรับก่อสร้างผนังที่อยู่อาศัยประเภททาวเฮ้าส์ บ้านเดี่ยวทั้งในแบรนด์ ฮาบิเทีย – สราญสิริ - บุราสิริ และ เศรษฐสิริ รวมถึงบ้านเดี่ยวแบรนด์ล่าสุดในปีนี้ ได้แก่ คณาสิริ ทั้งในโครงการคณาสิริ วงแหวน –พระราม 5 และคณาสิริ บางนา ซึ่งรวดเร็ว แข็งแรง และสามารถควบคุมต้นทุนให้เหมาะสมกับการพัฒนาบ้านเดี่ยว และทาวเฮ้าส์ได้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ในปัจจุบันโรงงานแรกได้เดินหน้ากำลังการผลิตไปแล้วจนเกือบเต็มกำลังการผลิตสำหรับโรงงานพรีคาสท์ที่ 2 นี้จะเริ่มเดินหน้ากำลังการผลิตได้ตั้งแต่ในเดือนธันวาคมเป็นต้นไป
“การเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการด้วยระบบพรีคาสท์จะช่วยสร้างความมั่นใจในการพัฒนาโครงการในอนาคต โดยแสนสิริยังนับเป็นบริษัทที่มีอัตราการเติบโตที่ต่อเนื่องทั้งยอดขาย รายได้และกำไร ในระยะยาวโดยปัจจุบัน (1 ม.ค. – 3 ธ.ค. 2556) บริษัทสามารถสร้างยอดขายเติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 41,500 ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ทั้งสิ้นเป็นจำนวนถึง 49 โครงการครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด และนับว่าสูงที่สุดจากแผนที่บริษัทเคยพัฒนาโครงการภายในระยะเวลาเพียงปีเดียวมาก่อน นอกจากนี้ในปัจจุบันบริษัทยังมียอดขายรอรับรู้รายได้ไปถึง 4 ปีข้างหน้าซึ่งนับว่าสูงที่สุดของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยในขณะนี้แล้วกว่า 62,160 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปีนี้” นายวันจักร์ กล่าว
นายเมธา อังวัฒนพานิช รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ ได้ลงทุนพัฒนาโรงงานพรีคาสท์แห่งที่ 2 ภายใต้พื้นที่ของโรงงานทั้งหมด 17 ไร่ โดยแบ่งเป็นพื้นที่การผลิตประมาณ 7,200 ตารางเมตร และพื้นที่จัดเก็บประมาณ 3,600 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวกับโรงงานแรกที่ลำลูกกา คลอง 10 ปทุมธานี เพื่อผลิตที่อยู่อาศัย โดยวางเป้าหมาย คือ 1. การผลิตชิ้นงาน พื้น, คาน, บันได และชิ้นงานตกแต่งอื่นๆ ซึ่งจะส่งผลให้บริหารงานก่อสร้างได้รวดเร็ว ถูกต้องและลดระยะเวลาการก่อสร้าง 2. ใช้ในการผลิตชิ้นส่วนงานผนังพรีคาสท์ สำหรับใช้ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในแนวสูง นำร่องการผลิตในชิ้นส่วนงานผนังภายนอกของคอนโดมิเนียมแบรนด์ ดีคอนโด ซึ่งจะทำให้เกิดความแม่นยำในการกำหนดระยะเวลาการก่อสร้าง คุณภาพ และขนาดชิ้นงาน ทำงานได้รวดเร็ว ประหยัดเวลาการก่อสร้าง รวมถึงลดการพึ่งพาแรงงานฝีมือ และทำให้บริษัทสามารถควบคุมต้นทุนได้ดียิ่งขึ้น รองรับการขยายธุรกิจของบริษัทในอนาคต รวมทั้งจะช่วยทำให้บริษัทสามารถส่งมอบที่อยู่อาศัยได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
“ด้วยการขยายธุรกิจที่ยิ่งใหญ่และรวดเร็วทำให้บริษัทตัดสินใจขยายโรงงานพรีคาสท์แห่งที่ 2 โดยเริ่มนำร่องเดินกำลังการผลิตมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน และจะเดินเครื่องการผลิตจริงได้ตั้งแต่ในเดือนธันวาคมนี้เป็นต้นไป และสามารถเดินหน้าเต็มกำลังการผลิตได้ในเดือนมีนาคม 2557 ซึ่งจะส่งผลให้สามารถผลิตแผ่นสำเร็จรูปผนังภายนอกที่จะใช้ในการก่อสร้างคอนโดมิเนียมแบรนด์ ดีคอนโด ได้ในอัตรากำลังการผลิตสูงสุดกว่า 40,000 ตารางเมตรหรือคิดเป็นประมาณ 10 ตึกต่อปี รวมทั้งผลิตชิ้นงานในส่วน Special Element รองรับดีไซน์แบบบ้านสไตล์แสนสิริในอัตราประมาณ 150 หลังต่อเดือนสอดคล้องกับการผลิตผนังสำเร็จรูปจากโรงงาน 1 ทั้งนี้ ในไตรมาสสุดท้ายของปีบริษัทยังมีโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ได้เร็วกว่ากำหนดซึ่งเป็นผลมาจากความสำเร็จในการเปิดตัวพรีคาสท์ในโรงงานแรกอีกด้วย” นายเมธา กล่าว