นางสาว อัจฉราพร ศิริไพรวัน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ RASA ผู้ประกอบการทางด้านธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทบ้านจัดสรรและอาคารชุดพักอาศัย เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปี2556 ที่ผ่านมา นอกจากบริษัทฯจะดำเนินธุรกิจทางด้านอสังหาริมทรัพย์แล้ว บริษัทฯยังให้ความสำคัญกับกิจกรรมเพื่อสังคม อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด บริษัทฯได้ร่วมกับ มูลนิธิเขมไชย รสานนท์ จัดกิจกรรมบริจาคสิ่งของแก่นักเรียนที่ด้อยโอกาส พร้อมทั้งมอบอุปกรณ์การเรียน ให้แก่ศูนย์ศึกษาเด็กพิการด้อยโอการ เพื่อนำไปพัฒนาความรู้ ให้กับเด็กด้อยโอกาส ที่โรงเรียนอนุบาลปาย(เวียงใต้)อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน
ซึ่งกิจกรรมดังกล่าว บริษัทฯได้มอบรถจักรยาน จำนวน 200 คัน อุปกรณ์การเรียน ชุดนักเรียน รวมถึงทุนการศึกษา ให้กับเด็กๆโรงเรียนอนุบาลปาย(เวียงใต้)ให้กับเด็กนักเรียนกว่า 200 คน ส่วนหนึ่งเพราะบริษัทฯต้องการที่จะสร้างรอยยิ้มให้กับเด็กๆที่ด้อยโอกาส ได้รับสิ่งดีๆส่งท้ายปี2556
“ บริษัทฯรสา ได้ดำเนินการทำกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) อย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ก่อนนำบริษัทฯจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯในปี2550 ซึ่งจากวันนั้น ถึง วันนี้ บริษัทรสา ก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง เพราะมองว่าการจัดกิจกรรมCSR จะเป็นการปลูกจิตสำนึกให้คนภายในองค์กร ได้รู้จักการเป็นผู้ให้อย่างแท้จริง พร้อมกับที่จะเรียนร็จักคำว่าแบ่งปันให้กับคนในสังคม ” นางสาว อัจฉราพร กล่าว
ทั้งนี้ หากย้อนไปก่อนหน้านี้ รสา ได้ปลูกจิตสำนักคนในองค์กร ให้ผู้จักการเป็นผู้ให้ผ่านหลายๆกิจกรรมด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น กิจกรรมช่วยเหลือเด็กยากไร้ที่เป็นโรคหัวใจพิการตั้งแต่กำเนิด โดยสนับสนุนผ่านเงินทุน เพื่อเปลี่ยนลิ้นหัวใจให้กับเด็ก กว่า 100 ดวง ซึ่งเป็นการให้ชีวิตใหม่ให้แก่เด็กพิการทางด้านหัวใจ ได้มีอายุอยู่ต่อได้อีกกว่า10 ปี พร้อมทั้งยังได้ตระหนักถึงเด็กพิการที่ด้อยโอกาสทางสมองและปัญญา และรวมถึงเด็กด้อยโอกาสตามมูลนิธิ และสถานสงเคราะห์ต่างๆ อย่าง สถานสงเคราะห์เด็กชายบ้านมหาเมฆ สถานสงเคราะห์เด็กหญิง(บ้านราชวิถี) และ บ้านครูน้อย ฯลฯ
นอกจากที่ บริษัทฯจะดำเนินกิจกรรม ในวันวิสาขบูชาโลก ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง โดยการเปิดบูธให้เป็นลานในการนั่งทำสมาธิ ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เรียนรู้จัก การมีสติ จากการทำสมาธิ ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ต้องหาซื้อจากที่ไหน ขึ้นอยู่กับตัวเราเองที่ต้องเรียนรู้ที่ต้องรู้จักกับมัน ซึ่งโครงการนี้นอกจากเราจะเป็นผู้ให้ แล้ว ยังเป็นการสอนให้พนักงานรู้จักความอดทนกับคนหมู่มาก ที่เข้ามาในบูธ เพราะในแต่ละครั้งที่คนเข้ามาสลับปรับเปลี่ยนกัน ก็ทำให้เราได้เห็นพฤติกรรมของคนแต่ละคนที่ต่างกันออกไป จนทำให้คิดว่าบนโลกในนี้ไม่มีใครยิ่งใหญ่ไปกว่าใคร และเงินก็ไม่สามารถมาวัดค่าของความเป็นคนได้ ใครก็ตามที่เดินเข้ามานั่งพัก หรือ ทำสมาธิ ในบูธที่ทางRasa จัดเตรียมไว้ เราก็ดูแลทุกคนเท่ากันหมด ไม่มีแบ่งชนชั้นวรรณะ
อย่างไรก็ตาม รสา และ มูลนิธิ เขมไชย ก็ยังจะดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม ในลักษณะนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะเราตระหนักถึงการปลูกจิตสำนึก ของการเป็นผู้ให้ เพราะประโยชน์ของการเป็นผู้ให้ยิ่งใหญ่ สำหรับผู้ที่ได้รับเสมอ ดังนั้นเราจึงให้ความสำคัญต่อการสร้างประโยชน์ดีๆ ที่คืนกลับให้ทางสังคม เพื่อเผื่อวันหนึ่งเด็กที่เคยได้รับสิ่งดีๆ เค้าจะได้มอบโอกาสที่ดีคืนกลับมาให้สังคม มีความน่าอยู่มากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
“ การทำCSR ของRasa คือจะเน้นที่องค์กร มีความสุข พนักงาน มีความสุข กับการเป็นผู้ให้ มันก็เพียงพอได้ เราไม่จำเป็นที่จะไปประกาศให้คนอื่นรู้ว่าเราทำอะไร เพราะมองว่าการปลูกจิตสำนึก มันเป็นสิ่งสำคัญ ให้รู้จักแบ่งบัน และที่สำคัญการทำCSR ของบริษัทฯ เราตระหนักให้รู้จักค่าของเงิน แต่สิ่งที่สำคัญกว่าเราคือคุณมีรายจ่ายเท่าไร สำคัญกว่า เพราะถ้าเรารู้จักค่าของเงิน รู้จักจ่าย มันก็จะทำให้การใช้ชีวิตมีความสุข ซึ่งCSR สามาถสอนเขาได้ แต่มันจะเป็นการสอนให้เราเรียนรู้จักทางอ้อม CSR เหมือนจิ๊กซอ ที่ค่อยๆต่อ แบบไม่สิ้นสุด CSR อยู่รอบๆตัวเรา ถ้าวันหนึ่งเราอยากช่วยคน เราก็สามารถทำได้ การทำCSR ไม่จำเป็นต้องมีทุนทรัพย์ แค่มีใจเป็นจิตอาสา มันก็คือCSR แล้ว “