นายสันติ หอกิตติกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท จีแคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ GCAP ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อแก่ลูกค้าที่ต้องการซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรในหลากหลายประเภท ภายใต้แนวคิด "สินเชื่อฉับไว เกษตรไทยก้าวหน้า" กล่าวถึงหุ้น GCAP ที่เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรกว่า รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่บริษัทฯ ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) และหุ้นของบริษัทฯ สามารถปิดการซื้อขายในวันแรกที่ราคาสูงกว่าราคาจอง 2.70 บาท/หุ้น ร้อยละ 13.33 สร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนในระดับหนึ่ง โดยปัจจัยที่ทำให้หุ้น GCAP ได้รับการตอบรับ แม้ว่าราคาหุ้น GCAP ไม่ปรับเพิ่มขึ้นมากนัก แต่ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจจากปัจจัยการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ไม่เอื้ออำนวยมากนัก แต่ยังคงเชื่อมั่นเรื่องปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ในขณะที่ธุรกิจมีทิศทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และโดดเด่น ทั้งจากธุรกิจให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องจักรกลการเกษตร และการให้บริการสินเชื่อเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อเป็นบริการเสริมให้แก่ผู้เช่าซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรที่เป็นลูกค้าของบริษัทฯ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผลประกอบการของ GCAP มีทิศทางการเติบโตอย่างชัดเจนในอนาคต โดยคาดว่าพอร์ตสินเชื่อจะเติบโตราวร้อยละ 20
“บริษัทฯ มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจอีกมาก เนื่องจากภาคการเกษตรขาดแคลนแรงงานและต้องการเครื่องจักรกลการเกษตรไปใช้ทดแทนและเพิ่มประสิทธิภาพ จึงเชื่อว่าบริษัทฯมีโอกาสเติบโตต่อเนื่องและมั่นคงในระยะยาว ประกอบกับเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้จะนำไปใช้ขยายพอร์ตสินเชื่อเพิ่มขึ้น และนอกจากนี้ยังใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ซึ่งเงินจำนวนดังกล่าวเพียงพอต่อการขยายธุรกิจในอนาคต วันนี้พอใจกับผลการตอบรับของนักลงทุนซึ่งสะท้อนว่านักลงทุนเข้าใจและมั่นใจในธุรกิจของบริษัท ทางคณะผู้บริหารรวมทั้งพนักงานทุกคนขอขอบคุณนักลงทุนที่ให้ความไว้วางใจ เข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ GCAP และในฐานะผู้บริหารและตัวแทนของพนักงาน พร้อมที่จะทำงานหนักเพื่อสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่าให้กับทุกภาคส่วนอย่างเท่าเทียมกัน” นายสันติกล่าว
ทั้งนี้ การเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ของบริษัท จีแคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ GCAP เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม2556 ได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก โดยเปิดการซื้อขายที่ระดับราคา 4.50 บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 66.67 จากราคาจอง 2.70 บาท/หุ้น ก่อนจะปรับขึ้นมาทำราคาสูงสุดของวันที่ 4.96 บาท/หุ้นหรือร้อยละ 83.70 และปิดการซื้อขายที่ระดับราคา 3.06 บาท/หุ้น ปรับเพิ่มขึ้นจากราคาจอง IPO ร้อยละ 13.33 โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวม 1,076.19 ล้านบาท