ทั้งนี้ ในปีที่ผ่านมา บลจ.ไทยพาณิชย์ ประสบผลสำเร็จจากการจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ (กอง1) และ กองทุนโครงสร้างพื้นฐานรวมจำนวน 5 กองทุน จนสามารถครองอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม โดยมีเม็ดเงินใหม่ เข้ามากว่า 71,600 ล้านบาท ประกอบด้วย กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์เอราวัณ โฮเทล โกรท (ERWPF) กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์คริสตัล รีเทล โกรท (CRYSTAL) กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โรงแรม ศรีพันวา (SPWPF) กองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไทคอน อินดัสเทรียล โกรท (TGROWTH) และล่าสุด กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ทรูโกรท (TRUEIF) ส่งผลให้บริษัทฯมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้ การบริหารงานรวมทั้งสิ้น 97,586 ล้านบาท และมีขนาดมูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization) รวมสูงถึง 115,421 ล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 27 ธันวาคม 2556)
นางโชติกา กล่าวว่า ในปี 2557 ยังจะได้เห็นการแข่งขันที่สูง โดย บริษัทฯ ยังมีแผนออกกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นกองอสังหาฯ ใหม่ที่ยื่นขออนุมัติกลต.ในปีที่ผ่านมา จำนวน 3 กอง เป็นสินทรัพย์ประเภทคลังสินค้าและโรงงาน ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงาน นอกจากนี้ ยังมีแผนการเพิ่มทุนกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ CPN รีเทล โกรท (CPNRF) และกองทุนรวมสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ไพร์มออฟฟิศ (POPF) ที่ผ่านมติผู้ถือหน่วยแล้ว ส่วนกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานอยู่ระหว่างการศึกษา รวมทั้งกองรีทส์ที่มีแผนจะเสนอขายด้วยเช่นกัน โดยคาดว่าในปีนี้จะมีเม็ดเงินเข้ามาจากกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท
“เชื่อว่าในปีนี้เรายังได้เห็นการแข่งขันทั้งกองทุนรวมอสังหาฯ กองทุนรีทส์ และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งถือว่าเหมาะกับสถานการณ์การลงทุนในประเทศขณะนี้ที่มีความผันผวนสูง เนื่องจากกองทุน มีนโยบายในการจ่ายปันผลที่ชัดเจนและต่อเนื่องจาก 90% ของผลกำไร ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ” นางโชติกา กล่าว