นางสาวยุพาวดีกล่าวต่อไปว่า สำหรับกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศอายุโครงการประมาณ 6 เดือน และ 1 ปี ที่จะเสนอขายในสัปดาห์นี้ เป็นกองทุนที่เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่มีสินทรัพย์ในการลงทุนสูงและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้มากขึ้น เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น โดยผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้ด้วยเงินขั้นต่ำ 1,000,000 บาท โดยทั้งสองกองทุนดังกล่าวยังคงให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำในปัจจุบัน รวมทั้งในภาวะที่เศรษฐกิจไทยชะลอตัว แม้ว่ามติของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน หรือ กนง. ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.25% แต่สำหรับการประชุมในครั้งถัดไป คาดว่าอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้หากจำเป็นต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งนี้ บลจ.กสิกรไทยแนะนำให้ผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนกับกองทุนตราสารหนี้แบบที่มีกำหนดระยะเวลาชัดเจน ตั้งแต่ 6 เดือนถึง 1 ปีขึ้นไป เพื่อล็อกอัตราผลตอบแทนเอาไว้ก่อน และเป็นการพักเงินเพื่อรอดูความชัดเจนด้านเศรษฐกิจต่อไป
สำหรับตราสารที่กองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 6 เดือน เค (KEFF6MK) จะเข้าไปลงทุนในเบื้องต้นประกอบด้วยเงินฝากของ China Construction Bank Corporation, สาขาฮ่องกง และเงินฝากของ Bank of China, สาขามาเก๊า ซึ่งทั้งคู่ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก Fitch Ratings ที่ A นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ ICBC (Asia) Ltd., ประเทศฮ่องกง และตราสารหนี้ BTG Investments LP ที่รับประกันโดย BTG Pactual Holding S.A., ประเทศบราซิล ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก Fitch Ratings ที่ระดับ A และ BBB- ตามลำดับ รวมทั้งยังลงทุนในตั๋วแลกเงิน บริษัท อยุธยา แคปปิตอล ออโต้ ลีส จำกัด (มหาชน), ประเทศไทย ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก TRIS ที่ระดับ A+ ด้านกองทุนเปิดเค เอ็นแฮนซท์ ตราสารหนี้ต่างประเทศ 1 ปี ดี (KEFF1YD) ในเบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนในเงินฝากของ China Construction Bank Corporation, สาขาฮ่องกง และเงินฝาก Bank of China, สาขามาเก๊า รวมทั้งยังลงทุนในตราสารหนี้ ICBC (Asia) Ltd., ประเทศฮ่องกง และตราสารหนี้ BTG Investments LP ที่รับประกันโดย BTG Pactual Holding S.A., ประเทศบราซิล ด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ Bank of East Asia, ประเทศฮ่องกง ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลจาก S&P ที่ระดับ A โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน
นอกจากนี้ เพื่อเป็นทางเลือกแก่ผู้ลงทุนทั่วไปที่ต้องการลงทุนในระยะสั้นและสามารถยอมรับความเสี่ยงได้ต่ำ แต่ต้องการโอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจกว่าการลงทุนกับตราสารหนี้ในประเทศ ในช่วงเวลาเดียวกัน บลจ.กสิกรไทยยังเปิดเสนอขายกองทุนเปิดเค ตราสารหนี้ 3 เดือน ดีแซท (KFI3MDZ) ประมาณการผลตอบแทนหลังหักค่าใช้จ่ายกองทุนที่ 2.75% ต่อปี ทั้งนี้กองทุนดังกล่าวจะลงทุนในเงินฝากของ Bank of China, สาขามาเก๊า และเงินฝากของ China Construction Bank Corporation, สาขาฮ่องกง เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก Fitch ประเทศไทย ที่ระดับ A+ และ AA- ตามลำดับ รวมทั้งยังลงทุนในตราสารหนี้ประเทศไทยของธนาคารทิสโก้ ไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจาก TRIS ที่ระดับ A โดยกองทุนดังกล่าวมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเต็มจำนวน นอกจากนี้เพื่อตอบรับความต้องการสำหรับผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ต่ำมากและต้องการลงทุนระยะสั้นกับตราสารหนี้ในประเทศเป็นหลัก ในช่วงเวลาเดียวกัน บลจ.กสิกรไทยจะเปิดขายกองทุนเปิดเค คุ้มครองเงินต้น ตราสารหนี้ไทย 3 เดือน ดีเอ็ม (KPPTF3MDM) โดยกองทุนดังกล่าวจะเน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไทย หรือ พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย และบางส่วนในเงินฝากประจำ 3 เดือนของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะให้โอกาสรับผลตอบแทนปลอดภาษีสำหรับลูกค้าบุคคลธรรมดาที่ 2.25% ต่อปี โดยทั้ง 2 กองทุนดังกล่าว ผู้ลงทุนสามารถลงทุนด้วยเงินขั้นต่ำเพียง 5,000 บาท
ผู้ที่สนใจลงทุนกับกองทุน KFI3MDZ, กองทุน KEFF6MK, กองทุน KEFF1YD และกองทุน KPPTF3MDM สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับหนังสือชี้ชวนเสนอขายได้ที่ธนาคารกสิกรไทยทุกสาขา หรือสอบถาม KAsset Contact Center 0 2673 3888 begin_of_the_skype_highlightinend_of_the_skype_highlighting