นายชำนาญ พรพิไลลักษณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรพรหมเม็ททอล จำกัด (มหาชน) หรือ PPM ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โลหะเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมและวัสดุเพื่อใช้ในงานก่อสร้าง เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในรอบปี 2556 ว่า “บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,568.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.99% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้อยู่ที่ 1,451.99 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 48.03 ล้านบาท ลดลง 18.73% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 59.09 ล้านบาท สาเหตุที่บริษัทฯ มีอัตรากำไรลดลงเนื่องจากผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่มีผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมืองทำให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวจากระดับ 31 บาท มาที่ 33 บาท แต่หากพิจารณาจากอัตรากำไรขั้นต้น (Gross profit) ซึ่งเป็นรายได้จากการขายหักต้นทุนขาย จะเห็นได้ว่า ในปี 2557 บริษัทฯ มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 203.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.98% เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 164.38 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากภาพรวมของผลการดำเนินงานของบริษัทฯ โดยพิจารณาจากอัตราการขยายตัวจากยอดขาย และการขยายตัวของการทำกำไรขั้นต้นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านั้น จะเห็นได้ว่า บริษัทฯ มีการทำกำไรจากยอดขายได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายช่องทางการตลาด โดยเน้น เจาะฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ประกอบกับบริษัทฯ มีการบริหารจัดการด้านต้นทุนวัตถุดิบ พร้อมทั้งมีการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดรับกับการแข่งขันทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง
“งบผลการดำเนินงานปี 2556 บริษัทฯ มียอดขายที่เพิ่มขึ้น 7.99% เมื่อเทียบกับปี 2555 ขณะที่กำไรลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 18.73% ซึ่งเป็นผลมาจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนในปี 2556 ที่ 32.81 ล้านบาท จากปีก่อนหน้าบริษัทฯ มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ที่ 11.9 ล้านบาท ซึ่งถ้าไม่มีผลกระทบจากปัจจัยดังกล่าว จะส่งผลให้บริษัทมีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นประมาณ 44.77 ล้านบาท และผลจากค่าเงินที่อ่อนค่าลงในช่วงไตรมาส 4/56 ที่ผ่านมา ส่งผลให้บริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากกรณีดังกล่าวเช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ที่ดำเนินธุรกิจใกล้เคียงกัน” นายชำนาญกล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการออกและเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท (Warrant) จำนวน 80 ล้านหุ้น เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วนการถือหุ้นในอัตราส่วนการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุน 2 หุ้น ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ (2 : 1) โดยกำหนดราคาการใช้สิทธิแปลงสภาพของใบสำคัญแสดงสิทธิเท่ากับ 7 บาทต่อหุ้น ในทุก 6 เดือน โดย Warrant มีระยะเวลา 3 ปี ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามาประมาณ 560 ล้านบาท จากการใช้สิทธิในการแปลงสภาพตามระยะเวลาดังกล่าว โดยบริษัทฯ จะนำเม็ดเงินดังกล่าวไปขยายธุรกิจในอนาคต
ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2557 นั้น นายชำนาญ กล่าวว่า บริษัทฯ ประมาณการอัตราการเติบโตของรายได้ปีนี้ ที่ระดับ 1,600-1,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.04-14.80% จากปี 2556 โดยมองว่า ธุรกิจยังคงมีแนวโน้มอัตราการขยายตัวที่น้อยกว่าปกติ โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันจะมีปัญหาทางการเมือง ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่น ซึ่งมีผลกับการขยายตัวอย่างสูง แต่อย่างไรก็ดี ทางบริษัทฯ คาดว่าจะได้รับอานิสงค์จากผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมในต่างประเทศที่ย้ายฐานผลิตเข้ามาในประเทศ ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์วัตถุดิบอุตสาหกรรม อาทิ ทองแดงและทองเหลืองชนิดแผ่นและม้วน, ท่อทองเหลือง และอุปกรณ์, อะลูมิเนียมชนิดม้วนเกรดพิเศษเพื่ออุตสาหกรรมหลังคา ฯลฯ และผลิตภัณฑ์วัสดุเพื่อใช้ในการก่อสร้าง อาทิ ฉนวนยางป้องกันความร้อน, อะลูมิเนียมชีททำหลังคารีดลอน ฯลฯ ยังคงมีดีมานด์ความต้องการผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม แผนในการขยายงานโดยเฉพาะการให้บริการพื้นที่เช่าศูนย์การค้าที่อำเภอศาลายา หลังมหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้ “The Salaya” ซึ่งเป็น Education Hub บนพื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตร ซึ่งเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการแล้ว โดยบริษัทฯ จะมีรายได้จากพื้นที่เช่าและการให้บริการเข้ามาภายในปีนี้กว่า 40 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ จะรับรู้รายได้จากการให้บริการที่จอดรถในสถานีรถไฟฟ้า Airport Rail Link เข้ามาในปีนี้กว่า 10 ล้านบาท