นายชวน ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK ผู้พัฒนาโครงการ “ชวนชื่น” และ “สิรีนเฮ้าส์” เปิดเผยว่า บริษัทฯ รับรู้รายได้จากการขายและบริการ ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 จำนวน 739.57 ล้านบาท เติบโตขึ้น 58.41% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 466.86 ล้านบาท รวมผลประกอบการประจำปี 2556 บริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากการขายและบริการรวม 2,759.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.05% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยโครงการหลักที่สร้างรายได้ในปีนี้ ได้แก่ เด็น วิภาวดี คอนโดมิเนียม, ชวนชื่นโมดัส เซนโทร, ชวนชื่นเพชรเกษม และชวนชื่นจรัญฯ 3 นับเป็นปีที่บริษัทฯ สร้างรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์
ในปี 2556 บริษัทฯ มีกำไรเบื้องต้น 949.28 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนกำไรเบื้องต้น (Gross Profit Margin) 34.40% ลดลงจากปีที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราส่วนกำไรเบื้องต้น 37.97% สาเหตุหลักมาจากในปีนี้มีการรับรู้รายได้จากคอนโดมิเนียมและทาวน์เฮ้าส์ ซึ่งกำไรเบื้องต้นต่ำกว่าบ้านเดี่ยว ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารในปีนี้อยู่ที่ 430.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 361.89 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา โดยค่าใช้จ่ายหลักที่เพิ่มขึ้น คือ ภาษีธุรกิจเฉพาะซึ่งแปรผันตามรายได้จากการขาย อย่างไรก็ดีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A to sales) ปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาจาก 20.99% เป็น 15.61% อันเป็นผลของรายได้ที่เติบโตมาก บริษัทฯ เสียภาษีเงินได้ในปีนี้ในอัตรา 20% จากนโยบายที่รัฐบาลลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเพื่อชดเชยต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้น แต่เนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้จึงเพิ่มขึ้นจาก 72.63 ล้านบาท เป็น 109.09 ล้านบาท
หลังจากหักดอกเบี้ยและภาษีแล้ว บริษัทฯ มีกำไรสุทธิประจำไตรมาส 4/2556 จำนวน 116.32 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.36% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิประจำปี 2556 เท่ากับ 428.56 ล้านบาท คิดเป็น 0.50 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้น 63.95% จาก 261.40 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้อัตราส่วนกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ในปีนี้เท่ากับ 15.32% สูงขึ้นจากอัตรา 14.79% ในปีที่ผ่านมา
ในส่วนของสินทรัพย์ลดลง 592.22 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จาก 7,374.84 ล้านบาท เป็น 6,782.62 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ ได้มีการส่งมอบและรับรู้รายได้คอนโดมิเนียม เด็น วิภาวดีในปี 2556 ทั้งนี้เงินสดและรายการเทียบเท่าเงินสดสุทธิเพิ่มจาก 39.26 ล้านบาท ณ.สิ้นปี 2555 เป็น 194.30 ล้านบาท ณ.สิ้นปี 2556 สำหรับหนี้สินปรับตัวลดลง 849.79 ล้านบาท จาก 2,352.58 ล้านบาท เป็น 1,502.79 ล้านบาท จากการชำระคืนเงินกู้ยืม ทั้งนี้ เงินกู้ระยะสั้นที่ปรับตัวลดลงจาก 300.13 ล้านบาท เป็น 80.17 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ ได้ชำระคืนเงินทุนหมุนเวียนจากตั๋วเงินระยะสั้น (B/E) เนื่องจากมีสภาพคล่องกระแสเงินสดสูง สำหรับส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้น 257.57 ล้านบาท จากสิ้นปีที่ผ่านมา อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ณ สิ้นปี 2556 จึงปรับตัวลดลงจาก 0.47 เท่าเมื่อสิ้นปี 2555 เป็น 0.28 เท่า ณ สิ้นปี 2556 ในขณะที่อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (Net D/E ratio) ลดลงจาก 0.46 เท่า เหลือเพียง 0.25 เท่า ด้วยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนที่ต่ำมาก ประกอบกับภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ย (Interest-bearing debt) ที่ต่ำเพียง 886.29 ล้านบาท และกระแสเงินสดที่มีสภาพคล่องสูง จึงทำให้บริษัทฯ มีความแข็งแกร่งทางการเงิน พร้อมรับสถานการณ์เศรษฐกิจที่อยู่ในสภาวะชะลอตัวเช่นในปัจจุบัน