นางปวีณา หงสกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า นับตั้งแต่องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้วันที่ ๘ มีนาคม ของทุกปี เป็นวันสตรีสากล และเชิญชวนให้ประเทศสมาชิกจัดกิจกรรมเพื่อร่วมเฉลิมฉลองและรำลึกถึงการต่อสู้ของสตรีเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิ ความเสมอภาค สันติสุข และการพัฒนา จากนั้นเป็นต้นมา ถือเป็นเสมือนจุดกำเนิดของการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรี สะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของสตรี และทำให้สตรีได้มีที่ยืนในสังคม ได้รับการยอมรับ ได้รับการพัฒนาศักยภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่ความเสมอภาคและความเท่าเทียมกันระหว่างหญิงชาย สำหรับประเทศไทย ถึงแม้ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา สตรีจะได้รับการยอมรับให้มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศมากขึ้น ได้รับการพัฒนาและได้รับความสำคัญอย่างชัดเจน แต่ในความเป็นจริงแล้ว สตรียังประสบปัญหาความเหลื่อมล้ำในเรื่องสิทธิ โอกาส และการถูกกระทำความรุนแรงในรูปแบบต่างๆ ที่เห็นได้ทั่วไปในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สตรีในท้องถิ่นที่ยังมีปัญหาในเรื่องคุณภาพชีวิต ได้รับบริการไม่ทั่วถึง เข้าไม่ถึงข้อมูลข่าวสาร ถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกละเมิดสิทธิ และเผชิญอุปสรรคในการแสวงหาโอกาสและความก้าวหน้าที่ทำให้ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้
นางปวีณา กล่าวต่อไปว่า สำหรับการจัดงานวันสตรีสากล ประจำปี ๒๕๕๗ นี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “แตกต่างอย่างเข้าใจ สังคมไทยเสมอภาค” เพื่อสร้างความตระหนักต่อสังคมในเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และความเสมอภาคเท่าเทียมกันระหว่างหญิงชาย และให้โอกาสผู้หญิงได้มีบทบาท ได้รับสิทธิทางกฎหมาย ได้รับการปฏิบัติอย่างเข้าใจ เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาที่เท่าเทียมกันอย่างแท้จริง ทำให้เกิดการขับเคลื่อนและการเปลี่ยนแปลงบนพื้นฐานของความเสมอภาค ความเป็นธรรม เพื่อให้สตรีเป็นพลังอันเข้มแข็งที่จะร่วมสร้างสรรค์ประเทศไทยให้เกิดการพัฒนาและเกิดสันติสุขอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ “ภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ประกอบด้วย การเสวนาวิชาการ หัวข้อ “พระราชบัญญัติ ความเท่าเทียมระหว่างเพศ : เส้นทางไปสู่ความเสมอภาค”, การมอบโล่รางวัลแก่สตรี บุคคล และหน่วยงานองค์กรดีเด่น จำนวน ๑๖ สาขา รวมทั้งสิ้น ๓๔ รางวัล, การจัดนิทรรศการเชิดชูเกียรติสตรี บุคคล หน่วยงานที่ได้รับรางวัล และนิทรรศการของหน่วยงานองค์กรที่ปฏิบัติงานด้านการพัฒนาสตรี และการส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างหญิงและชาย” นางปวีณา กล่าวตอนท้าย.