นายรัชต์ โสดสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนแอสเซท พลัส จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงให้น้ำหนักสถานการณ์ทางเมืองไทยเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 12 มีนาคมนี้ โดยประเมินว่า หากกนง.มีมติพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% เป็น 2% ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นปรับตัวลง ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวมีโอกาสปรับตัวลดลงน้อยกว่าพันธบัตรระยะสั้น เนื่องจากได้ปรับตัวลดลงไปก่อนหน้านี้แล้ว
“การเคลื่อนไหวของเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาปรับลดลงตลอดทั้งเส้นโดยเฉพาะในตราสารระยะยาว ซึ่งเป็นการปรับตัวลง เพื่อตอบรับกับการคาดการณ์ว่าในการประชุมของกนง.ครั้งนี้ว่า จะมีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทำให้มีแรงซื้อจากนักลงทุนสถาบันมากขึ้น ขณะที่ปริมาณการออกใหม่ของพันธบัตรมีอยู่จำกัด” นายรัชต์กล่าว
ดังนั้น สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น บริษัทฯ แนะนำล็อคผลตอบแทนก่อน กนง.มีมติการประชุมในรอบนี้ โดยในวันที่ 12 มีนาคมนี้ บริษัทฯ จะเปิดขายและรับซื้อคืนรอบใหม่ (Rollover) กองทุนเปิด แอสเซทพลัสแอ็คทีฟตราสารหนี้ 8 (ASP-ACFIXED8) ซึ่งเป็นกองทุนตราสารหนี้ไทย ที่เปิดเสนอขายเป็นรอบระยะเวลา โดยรอบการลงทุนนี้เสนอขายเป็นรอบระยะเวลาประมาณ 3 เดือน และจะพิจารณาลงทุนในตราสารหนี้ไทย เช่น ตั๋วเงินคลัง / พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตั๋วสัญญาใช้เงินบรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (SMC) ตั๋วแลกเงิน/เงินฝาก ธนาคารทิสโก้ (TISCO) ตั๋วแลกเงิน บมจ. เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง (ASK) ตั๋วแลกเงิน บมจ. ราชธานีลิสซิ่ง (THANI) ตั๋วแลกเงิน บมจ. แสนสิริ (SIRI) โดยคาดว่าสามารถให้ผลตอบแทนหลังหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายได้อยู่ที่ 2.70% ต่อปี* นอกจากนี้ บริษัทยังมีกองทุนเปิดแอสเซทพลัสตราสารหนี้ (ASP) มีนโยบายลงทุนในตราสารระยะสั้นโดยเป็นกองทุนสภาพสภาพคล่องที่เปิดซื้อขายหน่วยลงทุนทุกวันทำการ ที่มีกลยุทธ์การบริหารแบบ Money Market เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับการพักเงินลงทุนของผู้ลงทุน