รายงานจากหน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรมของเจแอลแอล (โจนส์ แลง ลาซาลล์ ) เปิดเผยว่า ในปี 2556 ที่ผ่าน การลงทุนซื้อขายโรงแรมในเอเชียมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 7.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2.4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 218% เมื่อเทียบปี 2555 ทำให้ 2556 เป็นปีที่มีการลงทุนซื้อขายโรงแรมมูลค่าสูงสุดนับตั้งแต่วิกฤติการณ์ทางการเงินโลกปี 2550 อย่างไรก็ดี ในปี 2557 นี้ แม้นักลงทุนจะยังคงมีความสนใจสูงในตลาดโรงแรมของเอเชีย แต่มีแนวโน้มว่ามูลค่าการลงทุนซื้อขายในภูมิภาคจะลดต่ำลง เนื่องจากโรงแรมที่มีเสนอขายมีจำนวนน้อยลง
ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และจีน เป็นตลาดการซื้อขายโรงแรมที่มูลค่าปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุดในปีที่ผ่าน โดยเฉพาะญี่ปุ่น มีการซื้อขายโรงแรมรวมมูลค่าทั้งสิ้น 2.7 พันล้านดอลลาร์หรือประมาณกว่า 8.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 480% เมื่อเทียบกับมูลค่าการซื้อขายในปี 2555 นักลงทุนให้ความสนใจสูงเนื่องจากตลาดโรงแรมของญี่ปุ่นมีผลประกอบการที่ดีขึ้น ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศและการขยายตัวของความต้องการใช้ห้องพักทั้งจากนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางเข้ามาติดต่อธุรกิจ
ส่วนที่สิงคโปร์ ตลาดการลงทุนซื้อขายทุบสถิติใหม่ในปีที่ผ่านมาด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 2 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 6.4 หมื่นล้านบาท จากการมีรายการซื้อขายโรงแรมมูลค่าสูงเกิดขึ้น คือ โรงแรมแกรนด์พาร์คออร์ชาร์ดพร้อมศูนย์การค้าไนท์บริดจ์ในบริเวณส่วนล่างของอาคาร ซึ่งนับเป็นการซื้อขายสินทรัพย์รายการเดี่ยวที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในสิงคโปร์ ส่วนที่จีน การลงทุนซื้อขายโรงแรมในปีที่ผ่านมีมูลค่ารวม 1.1 พันล้านดอลลาร์หรือประมาณกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 55 ราว 13% เนื่องจากรัฐบาลจีนประกาศที่จะช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่ายขึ้นทำให้บรรยากาศการลงทุนในจีนในช่วงครึ่งหลังของปีปรับตัวดีขึ้น
ประเทศอื่นๆ ในเอเชียที่มูลค่าการลงทุนซื้อขายโรงแรมเพิ่มขึ้น ได้แก่ ฮ่องกง ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 486.7 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% ไทยมีมูลค่าการซื้อขาย 337 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณกว่า 1 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% และมัลดิฟส์ มีมูลค่าการซื้อขาย 267.6 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณกว่า 8.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 614% ปัจจัยสำคัญๆ ที่ทำให้ตลาดเหล่านี้เป็นที่สนใจของนักลงทุน คือการมีเส้นทางเชื่อมโยงกับประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้นและตลาดนักท่องเที่ยวชาวจีนขยายตัวสูง
นายไมค์แบทเชเลอร์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายบริการการลงทุนซื้อขาย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรมของเจแอลแอล กล่าวว่า “การลงทุนซื้อขายโรงแรมในเอเชียที่ขยายตัวสูงขึ้นในปีที่ผ่าน เกิดจากสองปัจจัย คือความต้องการสูงจากนักลงทุน และการมีโรงแรมคุณภาพเหมาะสมเสนอขายในตลาด ตลาดที่มีพัฒนาการแล้วดังเช่นสิงคโปร์ ยังคงได้รับความสนใจสูงจากนักลงทุนที่มีเงินทุนหนา แต่โรงแรมที่มีเสนอขายกลับมีเหลือน้อยลงเรื่อยๆ นักลงทุนเริ่มหันไปหาโอกาสการลงทุนในตลาดเกิดใหม่อื่นๆ ที่มีโอกาสให้ผลตอบแทนการลงทุนสูงกว่า และมูลค่าอาจปรับตัวสูงขึ้นได้มากกว่าในอนาคต”
“ยังคงมีทุนจำนวนมากที่ต้องการลงทุนซื้อโรงแรมในเอเชียในปีนี้ โดยเฉพาะทุนจากประเทศในเอเชียด้วยกันเอง แต่จากการที่ธุรกิจโรงแรมในภูมิภาคโดยรวมปรับตัวดีขึ้น ทำให้เจ้าของที่ต้องการขายโรงแรมในขณะนี้คาดหวังราคาที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะเดียวกันจำนวนโรงแรมที่มีเสนอขายในภูมิภาคเริ่มมีน้อยลง ซึ่งทำให้เป็นไปได้ว่า ปริมาณการซื้อขายโรงแรมในหัวเมืองสำคัญๆ ของเอเชียในปีนี้ที่เป็นรายการใหญ่ๆ จะเกิดขึ้นน้อยลง แม้โดยภาพรวมจะยังคงมีการซื้อขายเกิดขึ้นอย่างคึกคักก็ตาม” นายไมค์กล่าว
นายแฟรงค์ซอร์จิโอวานนี รองประธานฝ่ายวิจัย หน่วยธุรกิจบริการการลงทุนด้านโรงแรมของเจแอลแอล กล่าวว่า “เชื่อว่าตลอดปีนี้ นักลงทุนส่วนใหญ่จะให้ความสนใจซื้อโรงแรมในญี่ปุ่น สิงคโปร์ จีน กลุ่มประเทศอินโดจีน และประเทศในแถบมหาสมุทรอินเดีย นอกจากนี้ ตลาดน้องใหม่ของภูมิภาคดังเช่น พม่าและศรีลังกา คาดว่าจะได้รับความสนใจมากขึ้นจากนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนและกล้ารับความเสี่ยงสูง”
เกี่ยวกับเจแอลแอล
เจแอลแอล (โจนส์ แลง ลาซาลล์) เป็นบริษัทบริการและบริหารการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ ดำเนินธุรกิจในกว่า 1,000 เมืองใน 70 ประเทศทั่วโลก ในปีที่ผ่านมา มีรายได้รวมทั่วโลกทั้งสิ้น 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และขณะนี้มีอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการรวมกว่า 278 ล้านตารางเมตร
สำหรับในประเทศไทย เจแอลแอลเป็นบริษัทระหว่างประเทศรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยในธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ มีพนักงานรวมกว่า 1,330 คน และมีอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการคิดเป็นพื้นที่รวมประมาณ 5 ล้านตารางเมตร