ดร.ไพรินทร์ กล่าวเพิ่มเติมว่าสถานการณ์ในปัจจุบัน ปริมาณสำรองพลังงานของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การจัดหาแหล่งก๊าซฯ ใหม่ๆ ในประเทศทำได้ยากขึ้น และการนำเข้าก๊าซจากประเทศเพื่อนบ้านมีข้อจำกัดมากขึ้น ซึ่งสวนทางกับความต้องการใช้พลังงานที่สูงขึ้นทุกวัน ทั้งในภาคไฟฟ้า อุตสาหกรรม และขนส่ง โดยเฉพาะแผนการผลิตไฟฟ้าในช่วงปี 2555-2557 (แผน PDP ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3) ระบุให้มีการปรับลดขนาดโรงไฟฟ้าถ่านหินและโรงฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ และเพิ่มการผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติทดแทน
ส่งผลให้ก๊าซ LNG กลายเป็นพลังงานทางเลือกที่สำคัญของไทยและจะมีความสำคัญสูงขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต
ด้วยเหตุนี้ กลุ่ม ปตท. จึงได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการจัดหาและนำเข้า LNG ที่จะเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การทำสัญญาซื้อขายก๊าซ LNG ระยะยาว 20 ปี ปริมาณ 2 ล้านตันต่อปีกับบริษัท กาตาร์ ลิคิวไฟด์แก๊สคอมพานี (กาตาร์แก๊ส) การก่อสร้างสถานีรับ-จ่ายก๊าซ LNG ระยะที่ 2 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการเก็บและแปรสภาพก๊าซธรรมชาติจากของเหลวเป็นก๊าซจาก 5 ล้านตันเป็น 10 ล้านตันต่อปี การศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนสร้างเรือผลิต LNG (Floating LNG) และการร่วมทุนในโครงการผลิตและสำรวจปิโตรเลียมใน 12 ประเทศ เป็นต้น
"การเข้าร่วมงาน GASTECH 2014 ถือเป็นเวทีประชุมแลกเปลี่ยนข้อมูลทั้งเชิงพาณิชย์และเทคโนโลยี ที่สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยได้ โดย กลุ่ม ปตท. ถือเป็นตัวแทนของกลุ่มบริษัทพลังงานที่มีศักยภาพทางการแข่งขันในเวทีระดับโลก ที่พร้อมจะแสวงหาความร่วมมือของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติทั่วโลก ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของกลุ่ม ปตท. ที่จะได้นำข้อมูลต่างๆ มาใช้ประโยชน์ในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศต่อไป" ดร.ไพรินทร์ กล่าวเสริมในตอนท้าย