นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บมจ. สุธากัญจน์ (SUTHA) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2557 นี้ โดยเป็นบริษัทจดทะเบียนลำดับที่ 3 ที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปีนี้
SUTHA ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าเคมีภัณฑ์ประเภทปูนขาว (แคลเซียมออกไซด์ และแคลเซียมไฮดรอกไซด์) แคลเซียมคาร์บอเนต สำหรับใช้ในกระบวนการผลิตของผู้ประกอบการในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเหล็ก เคมี น้ำตาล เหมืองแร่ เยื่อและกระดาษ เป็นต้น
SUTHA มีทุนชำระแล้ว 300 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 225 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 75 ล้านหุ้น โดยเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนทั้งจำนวนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ในราคาหุ้นละ 3.70 บาท เมื่อวันที่ 26-28 มีนาคม 2557 มีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,110 ล้านบาท โดยมีบริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นายเกียรติกุล มนต์เสรีนุสรณ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. สุธากัญจน์ เปิดเผยว่า การนำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทที่จะเติบโตอย่างยั่งยืนโดยจะนำเงินที่ได้ไปใช้ขยายกำลังการผลิตลงทุนในระบบและเครื่องบดถ่านหินเพื่อรองรับการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศในอนาคต และลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจปูนขาว โดยเมื่อมิถุนายน 2556 บริษัทได้ทำบันทึกข้อตกลง (Memorandum of Agreement) กับบริษัทในกลุ่มของรัฐวิสาหกิจผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่รายหนึ่งของอินโดนีเซียในการศึกษาความเป็นไปได้เพื่อจัดตั้งกิจการร่วมค้า (Joint Venture) ที่จะดำเนินธุรกิจเผาหินปูนเป็นปูนขาวร้อน (Quick lime) ในประเทศอินโดนีเซีย
หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SUTHA 3 ลำดับแรก ได้แก่ ครอบครัวมนต์เสรีนุสรณ์ ถือหุ้น 70.17% นางสาวต้องรัก กิจวัฒนชัย ถือหุ้น 1.67% และ นางสาวณัฐฐิญา ทองเจริญ ถือหุ้น 1.17% ทั้งนี้ การกำหนดราคา IPO คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio ) 11 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัทในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่ไตรมาส 1 ถึงไตรมาส 4 ปี 2556) และหารด้วยจำนวนหุ้นภายหลังการเสนอขายต่อประชาชนในครั้งนี้ (Fully diluted) คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.34 บาท เมื่อเปรียบเทียบกับค่า P/E เฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนที่ประกอบธุรกิจคล้ายคลึงกับบริษัท (ระหว่างวันที่ 7 มีนาคม 2556-7 มีนาคม 2557) เท่ากับ 13.8 เท่า ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิภายหลังการหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมายในแต่ละปี
ผู้ลงทุนและผู้สนใจ โปรดดูรายละเอียดจากหนังสือชี้ชวนของบริษัทที่เว็บไซต์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ที่ www.sec.or.th และข้อมูลทั่วไปของบริษัทที่ www.goldenlime.co.th และที่เว็บไซต์ www.set.or.th