สำหรับไตรมาสที่ 2 นั้น นางสาวฐิภา กล่าวว่า ประเด็นสำคัญที่จะเข้ามาชี้นำตลาดทองคำยังคงอยู่ที่ นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด) ซึ่งมาตรการคิวอียังเป็นตัวแปรสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของราคาทองคำ นอกจากนี้ ประธานเฟดยังคงให้ความเห็นว่าอาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายภายในระยะเวลา 6 เดือนต่อจากนี้ ส่งผลต่อตลาดทองคำได้มากพอสมควร ทั้งนี้ประเด็นอื่นๆอาจต้องติดตามความเคลื่อนไหวของนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป(อีซีบี) รวมถึงประเด็นความขัดแย้งระหว่างรัฐเซียและยูเครนรวมถึงชาติตะวันตก หากมีประเด็นที่เพิ่มเติมขึ้นมา ย่อมส่งผลต่อทิศทางของราคาทองคำได้
นางสาวฐิภา กล่าวว่า สำหรับมุมมองด้านราคาทองคำนั้น วายแอลจีประเมินว่า หากราคาทองคำสามารถรักษาฐานที่บริเวณ 1,180 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือประมาณ 18,100 บาทต่อบาททองคำได้ มีโอกาสที่จะดีดตัวขึ้นไปในโซน 1,400-1,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ ประมาณ 21,500-22,200 บาทต่อบาททองคำ ทำให้การลงทุนในไตรมาสที่ 2 นั้น นักลงทุนระยะยาวอาจต้องรอจังหวะซื้อเมื่อราคาทองคำอ่อนตัวลงมาใกล้ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์หรือ ประมาณ 18,400 บาทต่อบาททองคำ และตัดขาดทุนหากราคาหลุด 1,180 ดอลลาร์ต่อออนซ์ลงมา